หน้าเว็บ

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

คนเดียวเที่ยวลาวเหนือ ตอน หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก 1

วังเวียง-หลวงพระบาง

 

วันที่ 25 ตุลาคม 2555 6.00 โดยประมาณ หลังจากล้างหน้าล้างตายังเหลือเวลาอีกมากก่อนถึงเวลานัดหมาย และก็เป็นอีกวันครับที่ได้สัมผัสอากาศยามเช้าที่วังเวียง อากาศยามเช้าค่อนข้างเย็นและสดชื่นเงียบสงบ สูดลมหายใจได้เต็มปอด ผมเดินทอดน่องไปเรื่อยๆตามเส้นทางเลาะเลียบข้างที่พัก บรรยากาศยามเช้าของที่นี่ยังคงคล้ายกับเมื่อวาน ร้านค้าแบกะดินวางขายตามปกติของวิถีชีวิต ผู้เฒ่าผู้แก่ออกมารอใส่บาตรคุยกันไปพลางระหว่างรอ วันนี้ผมมีโอกาสร่วมใส่บาตรกับคุณยายท่านหนึ่ง แกมานั่งรอพระอยู่คนเดียว ผมแวะไปทักทายแกๆก็เลยชวนให้ใส่บาตรด้วยกัน โดยภาพรวมผมว่าคนที่นี่อัธยาศัยไมตรี มีน้ำใจ ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากอยู่เมืองไทยเลยจริงๆ ในภาพที่เห็นไกลๆคือบอลลูนที่ให้เช่าชมเมือง ส่วนสนนราคาไม่ได้สอบถาม


ประมาณ 7 โมงเช้า ผมกลับเข้าที่พัก อาบน้ำแต่งตัว  ตรวจสอบข้าวของสัมภาระอีกครั้งก่อนจะออกจากห้อง คืนกุญแจแล้วจึงมานั่งกินกาแฟ(ฟรี)คุยกับยายเจ้าของบ้าน  แกให้ตั๋วโดยสารรถตู้ไปหลวงพระบางกับผมพร้อมกำชับว่าอย่าทำหาย หลังจากนั้นผมจึงเดินออกมา กะว่าจะมาหาอะไรรองท้องซะหน่อยก่อนการเดินทางอันยาวนานประมาณ 6 ชั่วโมงกับระยะทางอีกประมาณ 200 กิโลเมตรจะเริ่มขึ้น แต่ร้านอาหารยังไม่ค่อยเปิดครับเพราะยังเช้าอยู่มาก เดินวนไปวนมาผมก็หาเจอจนได้ ร้านนี้อยู่ตรงข้ามกับลมโชยบาร์เบอร์นั่นเองครับ ตอนกลางคืนเปิดเป็นผับ กลางวันเป็นร้านกาแฟและอาหารตามสั่ง ผมสั่งกระเพราไข่ดาวแบบลาวมาจานนึง หน้าตาก็พอดูได้แต่รสชาดไม่ค่อยคุ้นปาก สนนราคา 20000 กีบ ผมคำนวณราคาในใจ 80 บาทไทยเชียวนะนี่ เทียบกับชลบุรีบ้านผมจานนี้เต็มที่ 40 บาทครับ เสร็จสรรพเรียบร้อยจึงเดินกลับเข้าบ้านพักของยายรอเวลาออกเดินทาง


8 โมงตรงเผง รถสองแถวขนาดใหญ่แวะมารับผมที่โรงแรมเป็นคนแรก ผมร่ำลาจากคุณยายเจ้าของบ้าน แกอวยชัยให้พรและว่าถ้ามีโอกาสปีหน้าให้แวะมาเที่ยวใหม่นะ ผมไม่ได้รับปากแต่นึกในใจถ้ามีโอกาสผมคงต้องมาอีกแน่ หลังจากนั้นรถสองแถวก็วิ่งวนไปวนมารับผู้โดยสารแถวๆนั้นหละครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวต่างชาติ มีผมคนเดียวที่เป็นต่างด้าว นับรวมกันได้ประมาณ 12 คน สอบถามได้ความว่าบางส่วนก็จะเดินทางไปหลวงพระบางกับผม และบางส่วนก็จะแยกไปโพนสะหวัน เมืองท่องเที่ยวระหว่างเส้นทางไปหลวงพระบาง ไม่นานรถสองแถวก็พาพวกเรามาส่งไว้ที่ขนส่งสายเหนือ ด้วยสนนราคาค่าบริการ 15000 กีบครับ เท่านั้นยังไม่พอครับโดนค่าเข้าห้องน้ำที่ บขส อีก 2000 กีบ

9.00 รถเริ่มออกเดินทาง ฝรั่ง 5 ไทย 1 ลาว (คนขับรถ) 1 ด้วยรถตู้ตามที่เห็นในภาพนี่แหละครับ วิ่งผ่านทุ่งนาป่าเขา ผ่านชุมชนริมทางเป็นระยะๆ แต่รู้สึกว่าสภาพภูมิประเทศจะเป็นสีเขียวมากกว่าเส้นทางที่มาจากเวียงจันทน์เมื่อวันก่อน ดีที่ว่าวันนี้อากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ ในช่วงแรกๆยังเป็นเส้นทางเรียบไม่ค่อยมีโค้งมากนัก  ประมาณ 10 โมงเช้ารถเข้าจอดที่จุดพักระหว่างทาง เพื่อให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางในช่วงขึ้นเขา พี่โชเฟอร์แกว่าคราวนี้ 12.30 โน่นแหละจึงจะถึงจุดพักอีกที  หลังจากหยุดพักไม่นาน เราจึงออกเดินทางกันต่อครับ คราวนี้เป็นเส้นทางขึ้นเขาล้วนๆ โค้งๆ คดๆ ขึ้นๆลงๆ ทางตรงไม่ต้องถามหา ถ้ามีใครซักคนเมารถละก็ผมว่ามีปัญหาแน่แต่โชคดีทีไม่มีใครเมาครับ เสียอย่างเดียวเส้นทางช่วงนี้พี่โชเฟอร์แกว่าขอปิดแอร์วิ่ง นัยว่าอากาศมันเย็นอยู่แล้ว อัตราเร่งจะได้ดีขึ้นและประหยัดน้ำมันไปในตัว แต่ความรู้สึกขอผมว่ามันไม่ค่อยเย็นอย่างแกว่า คนไทยพอทนได้แต่ฝรั่งนี่สิบ่นพึมตลอดทาง


ประมาณ 12.30 รถตู้เข้าที่จุดพักทางแห่งที่สอง เพื่อให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำและรับประทานอาหารกลางวันก่อนเดินทางในช่วงสุดท้ายที่เหลือ ขอเข้าห้องน้ำก่อนครับล้าหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัว ค่าใช้จ่ายก็ 2000 กีบเหมือนเดิม ที่นี่เป็นจุดพักที่ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารและของฝากวางขายอยู่หลายร้านเหมือนกัน แต่ผมจำไม่ได้ว่าเค้าเรียกว่าอะไร ผมไม่ได้ทานอาหารที่นี่เพราะว่าไม่อยากให้หนักท้องกลัวจะมีปัญหาระหว่างทาง แต่ก็ได้นมแลคตาซอย 100 มิลมากล่องนึงแทนอาหารกลางวันแบบเบาๆ สนนราคา 5000 กีบ โอ้โห 20 บาทไทยเลยนั่น ที่เมืองไทยบ้านฉันขาย 12 บาทเอง  แต่ก็น่าเห็นใจครับกว่าจะขนส่งมาขายถึงที่นี่ได้ แพงหน่อยก็จ่ายเค้าไปเหอะ


หลังจากมื้อเที่ยงเรียบร้อยเราออกเดินทางกันต่อครับ สภาพเส้นทางยังคงเหมือนเดิม ไม่โค้งซ้ายก็โค้งขวา ไม่ไต่ขึ้นก็วนลง ถ้าไม่เหวซ้ายก็เหวขวา เส้นทางส่วนใหญ่ก็วิ่งผ่านป่าเขาเป็นหลัก ผ่านหมู่บ้านริมทางเป็นจุดๆแต่เราก็ไม่ได้หยุดแวะที่ไหนอีกจนกระทั่ง 2 ชั่วโมงผ่านไป ชุมชนเริ่มหนาตาขึ้นคิดว่าเราคงเข้าเขตหลวงพระบางแล้ว ชาวบ้านเริ่มมีให้เห็นหนาตา นักท่องเที่ยวขี่รถจักรยานเป็นกลุ่มๆ รถยนต์ของชาวบ้านแล่นสวนทางมาเป็นระยะ ชุดแต่งกายของนักเรียนดูดีกว่าตามเส้นทางที่ผ่านมา มองลงไปเห็นแม่น้ำไหลผ่านอยู่ไกลๆ ผมเดาว่าคงเป็นแม่น้ำโขง กำลังมีการแข่งเรืออยู่กลางแม่น้ำเป็นภาพที่ดูแล้วสบายตาดีเหมือนกัน รถวิ่งอีกไม่นานเราก็เข้าสู่เขตหลวงพระบางเต็มตัวแล้วครับ
บ่าย 3 โมงนิดๆ รถตู้ส่งพวกเราลงที่ บขส ของหลวงพระบาง ที่นี่ก็คล้ายกับเวียงจันทน์ครับ บริการรถสามล้อ รถตู้ ที่พักก็จะมารอรับนักท่องเที่ยวอยู่ที่นี่ หลังจากเซย์กู๊ดบายกับเพื่อนร่วมทางซึ่งต่างแยกย้ายกันไปแล้ว ผมเลือกสอบถามหาทำเลและราคาที่พัก จากตัวแทนของโรงแรมที่มีอยู่หลายเจ้าอยู่ครู่ใหญ่จึงตกลงปลงใจไปจะพักที่ เหมาพาโชคเกตเฮาส์ (ชื่อเค้าอย่างนั้นจริงๆ) ที่พักซึ่งน่าจะตั้งอยู่ใกล้ชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวมากที่สุดกว่าเจ้าอื่นๆ เป็นห้องพักมีระเบียงติดแม่น้ำขามในราคา 100000 กีบ ประมาณ 400 บาทไทย หลังจากตกลงราคากันเรียบร้อย ผมนั่งสามล้อเข้าเมืองสนนราคามาตรฐานการเดินทาง 20000 กีบ ไม่นานก็มาถึงโรงแรมรับกุญแจห้อง 205 สภาพก็ตามที่เห็นละครับ


หลังจากเข้าที่พัก  อาบน้ำอาบท่า เตรียมกล้องและเสื้อผ้าที่จะเอาลงไปฝากซักด้วย กะว่าจะลองเที่ยวดูสัก 2-3 ที่ก่อนจะค่ำ โดยเช่าจักรยานของโรงแรมราคา 10000 กีบ หลังจากสอบถามเส้นทางท่องเที่ยวจากพนักงานของที่พักพอสังเขปแล้วจึงเริ่มปั่นลัดเลาะดูสภาพบ้านเรือน  ชีวิตผู้คนและถนนหนทางไปเื่รื่อยๆครับ บ่ายค่อนไปทางเย็นแล้วอากาศที่นี่จึงค่อนข้างเย็นสบาย เลี้ยวซ้ายออกจากที่พักไม่ไกล ข้ามไฟแดงเจอแล้วครับสถานที่แห่งแรก วัดวิชุนฯ เจดีย์ทรงผลแตงโมครึ่งซีกคว่ำกับแสงในยามบ่ายใกล้ๆเย็น เห็นพระจันทร์ดวงเล็กประดับอยู่ไกลๆด้านหลัง


จากถนนด้านหน้าวัดวิชุนฯ มองตรงไปก็เห็นยอดพระธาตุภูสีต้องแสงสุดท้ายของวันอยู่ไม่ไกล ยอดสีทองเหลืองอร่ามตัดกับองค์พระธาตุสีขาวมองเห็นเด่นเป็นสง่า ตั้งอยู่บนยอดเขาเล็กชื่อภูสีซึ่งดูไม่สูงนักแต่ต้องออกแรงปั่นขึ้นเนินนิดหน่อย ถึงสามแยกผมเลือกปั่นไปทางด้านติดริมแม่น้ำขาม แวะชมทิวทัศน์ของแม่น้ำขามยามเย็นที่ถูกฉาบด้วยแสงสีทองของแดดสีทอง มองแล้วสวยแปลกตา จนถึงสามแยกอีกทีเลี้ยวซ้ายกะว่าจะอ้อมไปขึ้นยอดภูสี  ทางด้านที่สอบถามจากคนแถวๆนั้นซึ่งเขาว่าขึ้นง่ายกว่าด้านติดแม่น้ำขาม


แต่พออ้อมไปถึงปรากฏว่า ตลาดไนท์บาร์ซ่าซึ่งเป็นตลาดนัดกลางคืน แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอีกอย่างของที่นี่ กำลังเริ่มตั้งร้านรวงบ้างแล้ว ผมเอาจักรยานมาด้วยก็เลยไม่ค่อยสะดวกในหาที่จอด นั่นทำให้ผมต้องปั่นอ้อมกลับมาทางเดิม ก่อนจอดรถทิ้งไว้ริมแม่น้ำ แล้วรีบเดินขึ้นบนยอดภูสีทันทีกะว่าให้ทันก่อนฟ้ามืด ขึ้นไปได้นิดหน่อยต้องผ่านด่านเก็บค่าเข้าชม 20000 กีบครับจ่ายไป พอเดินเข้าจริงมันทั้งสูงทั้งชันเหมือนกันนะหรือว่าเป็นที่ผมอ่อนล้าไม่ทราบ เดินไปอู้ไปเลยไม่ทันแสงสุดท้ายของวัน แสงไม่พอให้ถ่ายรูปแต่ข้างบนผู้คนและนักท่องเที่ยวยังเยอะมาก  คงเป็นเพราะบนยอดภูสีเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบางได้เกือบรอบตัว ข้างบนนี้ลมพัดค่อนข้างแรงและอากาศค่อนข้างเย็นสบาย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงใช้เวลาพักเหนื่อย และคงแถมต่อด้วยการชมวิวยามค่ำคืนของหลวงพระบางซึ่งเริ่มมองเห็นแสงไฟยามราตรีกันบ้างแล้ว


ผมกลับลงมาจากยอดภูสีฟ้าก็มืดไปแล้ว คิดว่าปั่นจักรยานกลับไปที่โรงแรมเอาไปคืน แล้วจึงเดินออกมาตามเส้นทางเมื่อตอนเย็น ผมคิดว่าการท่องเที่ยวโดยการเดินทำให้เราสามารถเที่ยวได้แบบละเอียดกว่าการนั่งรถดูแบบผ่านๆ มันขาดอรรถรสครับ พักใหญ่ผมก็กลับมาเดินอยู่แถวๆตลาดไนท์ที่มาดูลาดเลาไว้ตั้งแต่ตอนเย็น ตลาดไนท์ที่นี่ก็คล้ายกับตลาดนัดคลองถม ตลาดนัดจตุจักร อะไรประมาณนั้นของบ้านเราครับ ของที่ขายส่วนใหญ่ก็จะเป็นสินค้าประดับตกแต่งบ้าน ภาพเขียนมือ เครื่องประดับ เสื้อผ้าทอมือ เสื้อยืดสกรีนลาย ผ้าพันคอ อัญญมณี อาหารการกิน ของฝาก ฯลฯ คล้ายๆกันเกือบทุกร้าน ที่นี่ผมได้ยินเสียงคนไทยแว่วๆตรงไหนสักแห่ง ผมได้เสื้อยืดสกรีนลายกลับมา 2 ตัว 35000 กีบ ประมาณ 140 บาทไทยเก็บไว้เป็นหลักฐานยืนยันการเดินทางครับ


หลังจากเดินเล่นอีกพักใหญ่จนรู้สึกเหนื่อย ผมได้ขนมครกและขนมบ้าบิ่นแบบลาวมากล่องนึงราคา 10000 กีบ น้ำดื่มอีก 2 ขวดๆใหญ่ 5000 กีบและขวดเล็ก 3000 กีบ เบียร์เย็นๆอีก 2 ขวด 20000 กีบจากร้านค้าระหว่างทางที่เดินกลับที่พัก เพียงพอแล้วครับสำหรับมื้อเย็นของผม 


3ทุ่มกว่าๆผมเดินกลับมาถึงที่พัก หิ้วทั้งเบียร์ทั้งขนมไปนั่งกินอยู่ที่นั่งของโรงแรมแถวๆริมแม่น้ำขาม สักพักก็มีหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งแวะมาคุยด้วย เพราะเขาทราบจากล๊อบบี้ของโรงแรมว่ามีคนไทย (ผมเอง) มาพักอยู่ที่นี่ด้วย สอบถามได้ความว่าเค้าเป็นนักศึกษาอยู่ที่เชียงใหม่มากับเพื่อนอีกคน มาพักที่นี่เมื่อวันก่อน พรุ่งนี้ก็จะเดินทางย้อนกลับไปวังเวียงที่ผมเพิ่งจากมา หลังจากคุยกันพักใหญ่รุ่นน้องคนนั้นก็ลาจากไปบอกว่าเพื่อนชวนไปเที่ยวเธคแถวๆนั้น ส่วนผมต้องขอตัวครับเพราะเหนื่อยล้าเต็มทน สรุปยอดค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางวันนี้มีดังนี้ครับ
1.ค่าที่พัก 100000 กีบ 400 บาท
2.ค่าอาหาร+น้ำดื่ม+เบียร์ 63000 กีบ 250 บาท
3.ของฝาก 35000 กีบ 140 บาท 
4.ค่าเช่าจักรยาน+ค่าเข้าชม+ห้องน้ำ 34000 กีบ 135
5.ค่ารถสามล้อ 15000+20000 =35000 กีบ 140 บาท
รวมแล้ววันนี้ผมใช้จ่ายไปประมาณ 267000 กีบหรือประมาณ 1100 บาทไทยครับ (คิดจาก 250 กีบ/บาท) ถึงแม้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 260 กีบต่อหนึ่งบาทไทย แต่พอใช้จ่ายทีไรเค้าจะคิดเราที่ 250 กีบต่อบาทจ่ายเป็นเงินบาทก็จะขาดทุน จ่ายเป็นเงินกีบก็คิดเ้ต็มทุกที สรุปว่ายังไงเรามักจะขาดทุนทุกครั้งที่จ่ายครับ...

ติดตามต่อใน  "คนเดียวเที่ยวลาวเหนือ ตอน หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก 2"


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น