ถ้าผมลองให้คุณจำแนก"คน"ออกเป็นประเภทต่างๆในนิยามตามใจตัวคุณเอง ผมเชื่อแน่ๆว่าผลลัพธ์ที่ออกมาต้องมีมากกว่าหนึ่งอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะว่าทุกๆคนมีกระบวนการคิด การวิเคราะห์และตัดสินใจที่แตกต่างกัน ดังนั้นในการจำแนกแยกแยะให้ตัวบุคคลเหล่านั้นให้อยู่ในกลุ่มต่างๆตามความคิดของแต่ละคน จึงประกอบไปด้วยเหตุผลมากมายหลายอย่างที่แต่ละท่านยกมาอ้างอิง ตัวอย่างเช่น บ้างก็จำแนกตามลักษณะที่สายตามองเห็น เช่น สูง-ต่ำ-ดำ-ขาว-ยาว-สั้น บ้างก็จำแนกตามแหล่งกำเนิดที่มา เช่นคนเหนือ คนอิสาน ฯล จำแนกตามสถานที่อยู่อาศัย เช่น คนบ้านนอก คนกรุงเทพ ฯล จำแนกตามหน้าที่การงานพื้นฐานอาชีพ เช่น ดารา นักร้อง ฯล จำแนกตามฐานะทางสังคม เช่น คนรวย คนจน คนร่อนเร่ ฯล จำแนกความแตกต่างทางด้านอายุ เช่น เด็ก คนหนุ่มสาว คนชรา ฯล จำแนกด้วยความรู้การศึกษา เช่น ปัญญาชน ชนชั้นกรรมกร ฯลฯ จะแบ่งด้วยจะด้วยเหตุผลอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะก็ว่ากันไปแล้วแต่ความคิดใครความคิดมันครับ
แต่สำหรับผมแล้ว วันนี้ผมจะขอจำแนกแยกแยะตัวบุคคลทั้งหมดบนโลกใบนี้
ด้วยคำพูดๆหนึ่งซึ่งพวกเราคงเคยได้ยินกันบ่อยๆคือ คำที่ว่านั้นคือ
"ไม่รู้ไม่ชี้" ครับ ความหมายตามพจนานุกรมบอกไว้ว่า
"ไม่รู้ไม่ชี้" เป็นคำวิเศษณ์ (คือคำที่ทำหน้าที่ประกอบคำนาม
คำกริยา คำสรรพนามหรือคำวิเศษณ์ด้วยกันเอง เพื่อให้ได้ความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น)
มีความหมายแปลตามตัวได้ความว่า "ไม่รับรู้
ไม่รับผิดชอบ" ด้วยการแบ่งแยกกลุ่มตามแบบที่ว่านี้
ทำให้ผมสามารถแบ่งกลุ่มบุคคลออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆดังนี้ครับ
1.ไม่รู้ไม่ชี้ พบเห็นได้ทั่วไปครับสำหรับบุคคลกลุ่มนี้ ชื่อกลุ่มก็บอกอยู่แล้วตีความโดยรวมหมายถึง บุคคลผู้รู้ตัวเองดีว่าฉลาดน้อย ไม่มีความสามารถเพียงพอและคงไม่สามารถให้แนะนำใครอื่นได้ ประมาณว่าเจียมตัวเจียมใจนั่นแหละ แปลให้ตรงๆก็คือ บุคคลที่โง่แล้วรู้ตัวว่าโง่ นั่นเองท่านว่าบุคคลประเภทนี้ยังพอที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นคนฉลาดได้
2.ไม่รู้แต่ชอบชี้ บุคคลกลุ่มนี้มีเยอะครับในสังคมยุคปัจจุบัน แค่ฟังชื่อก็น่ากลัวแล้วใช่ไหมล่ะ บุคคลกลุ่มนี้หมายถึง บุคคลผู้โง่เขลาแต่กลับสำคัญตนผิดคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าใคร เท่านั้นยังไม่พอยังไปแนะนำให้คนอื่นทำแบบนั้นแบบนี้อีกต่างหาก แม้มีคนว่ากล่าวตักเตือนว่ามันไม่ถูกไม่ต้อง แต่เขาก็ยังทะนงตนว่า..นี่แหละรู้ดีที่สุดแล้วทำได้ถูกต้องที่สุดแล้ว ไม่ต้องมาสอนมาแนะนำ บุคคลประเภทนี้เปรียบเสมือนน้ำล้นแก้ว คือไม่สามารถรับการสอนสั่งหรือคำแนะนำใดๆเพิ่มได้อีก ท่านกล่าวไว้ว่าบุคคลประเภทนี้ เป็นคนดื้อรั้นและจะไม่มีวันที่จะฉลาดได้อีกเลย
3.รู้แต่ก็ไม่ชี้ บุคคลกลุ่มนี้ก็หาได้ไม่ยากเช่นกันในสังคมบ้านเรา บุคคลกลุ่มที่ว่านี้หมายถึง บุคคลผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องใดๆเป็นอย่างดี แต่กลับไม่สามารถจะแนะนำหรือบอกสอนคนอื่นให้รู้ให้เข้าใจตามได้ ซึ่งเข้าทำนองสุภาษิตไทยว่า “มีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด” อะไรประมาณนั้น เป็นคนชอบสันโดษประเภทข้ามาคนเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวและไม่สนใจใคร เก่งจริงแต่เก่งอยู่คนเดียวแต่ทำงานกับร่วมคนอื่นไม่ได้ บุคคลประเภทนี้ท่านกล่างไว้ว่า แม้จะฉลาดก็จริงแต่ก็ไม่มีประโยชน์แก่ผู้อื่นเลย
4.รู้แล้วค่อยชี้ กลุ่มบุคคลประเภทท้ายสุดนี่แหละครับ ดูแล้วจะหาได้ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกินในปัจจุบัน กลุ่มบุคคลนี้หมายถึงผู้ที่ประกอบไปด้วยความฉลาดและความสามารถในการแนะนำพร่ำสอนคนอื่นให้ผู้อื่นรู้ตามเห็นตามได้ และทำให้บุคคลเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นคนที่มีปัญญาฉลาดเฉลียวสามารถยังประโยชน์แก่ตนและคนอื่นๆได้ สำหรับบุคคลกลุ่มนี้ท่านกล่าวไว้ว่า คือคนที่รู้ดีรู้ชั่ว รู้บุญรู้บาป รู้ประโยชน์แห่งตนและประโยชน์แห่งส่วนรวม รู้ประโยชน์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และประโยชน์สูงสุดอย่างยิ่ง
นี่แหละครับบุคคล 4 ประเภทของผม เป็นอย่างไรกันบ้าง?หลังจากอ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ทีนี้คุณสามารถบอกตัวเองได้หรือยังครับว่าคุณอยู่ในบุคคลกลุ่มไหน? หรือว่าถ้าคุณอยากจะเป็นบุคคลในกลุ่มไหน? คุณก็ควรจะต้องประพฤติตนให้ตนเองเปลี่ยนเป็นบุคคลในกลุ่มนั้น และเช่นกันถ้าคุณไม่อยากถูกจัดอยู่ในกลุ่มบุคคลที่คุณหรือคนทั่วไปไม่ค่อยชื่นชอบ ก็อย่าไปเลือกปฏิบัติตามบุคคลในกลุ่มนั้นก็แล้วกัน ขอให้ค้นพบตัวเองในเร็ววันนะครับ...
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://pixabay.com
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://pixabay.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น