จุดเริ่มต้นของการเดินทางเริ่มมาจากช่วงวันหยุดยาวในอาทิตย์ปลายๆเดือนตุลาคม 2555 บริษัทหยุดต่อเนื่อง 3 วันในช่วงวันปิยะฯผมก็เลยพ่วงวันลาพักร้อนไปอีก 3 วันได้วันหยุดยาวประมาณ 1 อาทิตย์เต็มๆ สบายๆไม่ต้องรีบสำหรับพวกชีพจรลงเท้าอย่างผมครับ หลังจากจัดเตรียมสัมภาระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ก็พยายามชักชวนใครต่อใครหลายๆคน ให้เห็นดีเห็นงามว่าวันหยุดยาวๆทั้งทีเราจะหาเหตุไปออกทริปที่ไหนกันดี แต่โชคไม่ดีครับไม่มีใครว่าง คนที่ว่างก็ไม่มีวันหยุดลาพักร้อนพอที่จะลาได้อีก เคว้งเลยครับทีนี้ เอาไงดีหว่า ที่แรกก็ตั้งใจว่าอยากจะลงไปทางภาคใต้ ไปหาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานแล้วแต่ก็ต้องยกเลิกไปเพราะไม่สามารถติดต่อกันได้ เอาใหม่ทีนี้ วางแผนเดินทางขึ้นเหนือครับ เพราะมีพี่ที่ทำงานจะพาครอบครัวไปพักผ่อนที่ภูทับเบิกพอดี ก็กะว่าจะโดยสารไปกับพี่เค้าพักที่ภูทับเบิกซักหนึ่งคืน ตื่นเช้าผมก็จะแยกไปขึ้นรถประจำทางเดินทางต่อไปเชียงใหม่ จากนั้นจับรถต่อไปห้วยน้ำดัง กางเต๊นท์พักซักคืน วันรุ่งขึ้นก็ต่อรถไปปาย พักอีกซักคืนหรือ2คืน วันต่อไปค่อยย้ายเข้าแม่ฮ่องสอน พักสักคืนแล้วค่อยวนกลับกรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ไม่ขาดไม่เกิน แต่ก็มีปัญหาอีกจนได้ครับ เนื่องจากภรรยาของพี่เค้าต้องการไปรักษาศีลที่วัดอะไรผมจำชื่อไม่ได้ เป็นวัดที่พี่เค้าเคยพาครอบครัวไปประจำ ก็เลยทำให้เค้าต้องออกเดินทางก่อนกำหนด1วัน ปรากฏว่าผมตกรถครับ ต้องเริ่มโปรเจคใหม่ละที่นี้ คืนวันที่ 20 ผมเริ่มหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ทว่าลำพังคนๆเดียวควรจะไปเที่ยวที่ไหนได้บ้างในงบประมาณไม่เกิน 10000 (ตอนนั้นมีเงินสดในมือประมาณ 8000 ) เริ่มจากห้องพันธ์ทิพย์ครับ อ่านรีวิวประเภทแบกเป้ไปเที่ยวคนเดียวประมาณนั้น หลังจากศึกษาข้อมูลได้พอสมควร สรุปได้ว่าผมตกลงใจจะไปลาวเหนือครับ ดูๆแล้วค่าใช้จ่ายพอไหว การเดินทางไม่ยากนัก ที่พักและอาหารการกินมีเยอะ และที่สำคัญความปลอดภัยและภาษาไม่เป็นปัญหา ตกลงว่าคืนนั้นผมรื้อกระเป๋าจัดใหม่เหลือเพียงเป้แบบสะพายหลังใบเดียว กล้อง+แบตเตอรี่สำรอง โทรศัพท์+สายชาร์จ ของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้าประเภทเสื้อยืดแห้งง่ายๆ กางเกงขาสั้น (ขายาว+รองเท้าผ้าใบใส่ติดตัวไป)รองเท้าแตะ (ไม่เตรียมก็ได้ครับ ที่ลาวมีขายทั่วไป ราไม่ค่อยแพงแต่คุณภาพก็ไม่ดีเช่นกัน) และที่ลืมไม่ได้กระเป๋าตังค์และตังค์ในกระเป๋า บัตรATM (ที่ลาวกดได้ครับ) บัตรเครดิตซัก 2-3 ใบเผื่อไว้ครับ และที่สำคัญพาสปอร์ตถ้าทำสำเนาไว้ด้วยยิ่งดี พร้อมแล้วเริ่มการเดินทางกันเลยครับ
18.00 21 ตุลาคม 2555 ผมซื้อตั๋วรถตู้ในราคา 120 บาท
ออกเดินทางตอน 18.30 จาก อ.บ้านบึง ถึงหมอชิตประมาณ 20.00
มีเวลานิดหน่อยให้ทำธุระส่วนตัว จากนั้นก็ไปหาซื้อตั๋วรถทัวร์ กทม-หนองคาย ผมเลือกใช้บริการของแอร์อุบลรถนอน
VIP ราคาตั๋ว 490 บาทขาเดียว ประมาณ 20.45 รถออกจากหมอชิต
ระหว่างการเดินทางจะมีอาหารแจกให้ (กระเพรา-ไข่ดาว-ขนมปัง-น้ำ-นม ) พวกนี้ถ้ายังไม่ทานให้เก็บสะสมไว้นะครับ
โดยเฉพาะน้ำดื่มเก็บได้เก็บเลย ภายหลังมันจะมีประโยชน์มาก
จากนั้นแนะนำให้เอนเบาะพอสบายๆแล้วพักผ่อนให้เต็มที่เก็บแรงไว้จัดหนักวันพรุ่งนี้ครับ
6.00 22 ตุลาคม 2555 รถทัวร์เข้าเทียบท่าที่ บขส.หนองคาย ยังเช้าอยู่มากครับแต่ไม่ค่อยหนาว (ผมว่าอากาศพอๆกับชลบุรี) จัดการกับตัวเองก่อนครับ ล้างหน้าแปรงฟัน เข้าห้องน้ำห้องท่าหาได้แถวๆ บขส.นั่นแหละครับ (เสียค่าบริการ) หลังจากนั้นก็จัดการฆ่าเวลาซะด้วย กระเพรา+ไข่ดาวและน้ำดื่มฟรีจากเมื่อคืน ตบด้วยกาแฟ ปาท่องโก๋แบบบ้านๆข้างๆสถานี ราคา 15 บาทต่อชุด (กาแฟ+น้ำชา+ปาท่องโก๋ 3 ตัว)
ประมาณ 6.30 จัดการพาตัวเองมาต่อแถวรอซื้อบัตรโดยสาร หนองคาย-เวียงจันทน์ ซึ่งที่จริงแล้วจะเปิดขายในเวลา 7.00 แต่ต้องมาต่อแถวรอไว้ก่อนครับ ถ้าอยากออกเดินทางด้วยรถเที่ยวแรกเวลา 7.30 เพราะว่าคนเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวลาวที่เดินทางกลับบ้าน ส่วนน้อยก็จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ถ้าจำนวนคนเต็มแล้วต้องรอเที่ยวต่อไป ขนาดผมต่อแถวตั้งแต่ 6.30 ยังได้ตั๋วยืนมาเลยครับ อ้อ ลืมไปต้องใช้พาสปอร์ตหรือบัตรผ่านแดนชั่วคราวในการซื้อครับ แต่ถ้าไม่มีก็สามารถทำได้ที่ บขส หรือว่าที่หน้าด่านก็มีสถานที่รับทำเหมือนกันแต่เรืองราคาไม่แน่ใจ สำหรับผมใช้พาสปอร์ตซื้ในราคา 55 บาทบวกค่าธรรมเนียมอีก 5 บาท เรียบร้อยก็รอเวลาครับ
7.30 รถโดยสารออกจากสถานีหนองคาย
สังเกตุดูบนรถส่วนใหญ่เป็นผู้โดยสารชาวลาว มีคนไทยอยู่กลุ่มนึงมาด้วยกันประมาณซัก5-6
คน ก็เลยได้ทักทายกันทราบว่าพวกเขากำลังเดินทางไปเที่ยวเหมือนกับผม มากันหลายครั้งแล้ว (แต่ผมเพิ่งมาครั้งแรก)
เป้าหมายของพวกเขาอยู่ที่เวียงจันทน์ รถออกจากหนองคายมาสักพักก็เข้าจอดที่ด่านขาออกจากประเทศไทย
ที่นี่ต้องทำการตรวจเอกสารพาสปอร์ต และเอกสารการขอออก-เข้าประเทศไทย ตรงนี้ไม่นานจากนั้นก็เดินทางข้ามสะพานมิตรภาพอีกสักพักรถก็จอดที่ด่านขาเข้าประเทศลาว
ตรงนี้ต้องยื่นพาสปอร์ตและใบขอผ่านเข้า-ออกจากประเทศลาว (กรอกเป็นภาษาอังกฤษ) ถึงที่นี่ก็มีปัญหาอีกครับ
ปรากฏว่าเอกสารที่ทางฝั่ง ตม.ของลาวต้องการใช้ใหม่กว่าของที่ผมได้มาจากฝั่งไทยทำให้เสียเวลาเขียนใหม่กันอีกรอบ
ใช้เวลาไปพอสมควรครับที่นี่ (คำแนะนำถ้าไม่ชำนาญภาษาอังกฤษหรือภาษาลาว
กระเป๋ารถสามารถช่วยเราได้)ข้อควรระวังการถ่ายรูปทุกชนิดบริเวณสถานที่ราชการของลาวถือเป็นการผิดกฏหมายครับ
10.00โดยประมาณกับระยะทางประมาณ 25 กม.ใช้เวลาประมาณ 30 นาที รถโดยสารถึงบขส.เวียงจันทน์ บรรดาสามล้อเครื่อง รถสองแถว รถตู้ เข้ามารุมล้อมถามด้วยความห่วงใย ผมตัดสินใจเลือกใช้บริการของสามล้อเครื่องวัยหนุ่มคนนึง ขั้นแรกหาที่แลกเงินไทยเป็นเงินกีบซะก่อน สามล้อแนะนำให้เข้าไปทีธนาคารใกล้ๆกับ บขส นั่นแหละ จัดการแลกไป 4000 บาทไทยได้เงินมา ประมาณ 1040000 กีบลาว อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 260 กีบต่อ 1 บาทไทย (รวยขึ้นมาทันตาเห็นเลยครับ) จัดการซื้อซิมโทรศัพท์แบบเติมเงินของลาวพร้อมด้วยบัตรเิติมเงินรวมประมาณ 180 บาทไทย 45000 กีบ จากนั้นก็บอกให้ช่วยหาโรงแรมราคาไม่สูงมากและไม่ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวนักให้ซักที่นึง สามล้อแกก็พาบึ่งมาส่งที่โรงแรมบุษราคัม (ห่างจากประตูไซยประมาณ 2ไฟแดง) สภาพพอใช้ได้ครับห้องแอร์+ทีวี สนนราคา 650 บาทต่อคืนรวมอาหารเช้า 1 มื้อ 172500 กีบ ค่าสามล้ออีก 80 บาทไทย 20000 กีบ (แปลงเงินกีบเป็นเงินไทยทีไรไทยมักจะขาดทุนตลอด) สรุปว่าคืนนี้นอนที่นี่ครับ
11.00 โดยประมาณ หลังจากอาบน้ำอาบท่า อาหารกลางวันก็ได้นมกะขนมปังจากรถทัวร์นั่นแหละครับประทังไปก่อน
จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองสบายๆ เตรียมกล้องถ่ายรูป ออกจากโรงแรมด้วยวิธีการเดินเป็นหลักครับ (เป็นความชอบส่วนตัว)อากาศข้อนข้างร้อนแต่ยังดีที่ทิวทัศน์มันแปลกตาก็เลยพอลืมเรื่องร้อนไปได้บ้าง เดินย้อนกลับมาทางเดิม
2 ไฟแดง เลี้ยวขวาเห็นประตูไซยอยู่ไม่ไกลนัก ออกแรงเดินสักพักก็ถึง ประตูไซยหรือประตูชัยอยู่ใกล้ๆกับที่ว่าการรัฐบาลลาว(น่าจะเหมือนทำเนียบรัฐบาลไทย) นักท่องเที่ยวชาวไทยเยอะมากครับที่นี่
ใครไม่มีกล้องมาก็ไม่ต้องกังวลครับ มีบริการถ่ายรูปให้เลือกเยอะแยะไปหมด สนนราคาตามขนาดครับ
4*6 ก็ประมาณ 20 บาท 5000 กีบ(ผมก็ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก 2รูป 40 บาท 10000
กีบ) อากาศไม่ค่อยเป็นใจท้องฟ้าไม่ค่อยเปิด ผมเลือกชมและถ่ายรูปแค่เล็กน้อยบริเวณด้านล่างและรอบๆ
ตัวประตูแต่ไม่ได้ขึ้นไปด้านบน (ค่าเข้าชมด้านบน 20 บาทไทย 5000 กีบ) ต้องรีบทำเวลายังเหลืออีกหลายที่ที่อยากไป ก็เลยต้องตัดใจครับ
ใกล้ๆเที่ยง ผมจากประตูไซยเดินตรงต่อไปเพื่อไปวัดพระธาตุหลวง
ถามทางจากช่างถ่ายรูปแกบอกว่าเดินตรงไปประมาณกิโลกว่า แต่ผมว่าต้องมี 2-3 กิโลแน่ๆ ไกลเหมือนกันนะแต่ไม่ต้องกลัวครับ
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ (ชาวต่างชาติ) รวมถึงชาวบ้านเค้าก็เลือกเดินกันครับมีบ้างที่เช่าจักรยานปั่นมา
ผมก็เดินๆตามเค้าไปไม่นานก็เห็นยอดพระธาตุสีเหลืองทองตั้งแต่ไกลๆ พอเดินไปใกล้ๆก็จะเห็นตัวพระธาตุชัดเจนขึ้น
สีเหลืองงทองทั้งองค์ สวยงามมากๆครับ
นักท่องเที่ยวบางตาคงเป็นเพราะว่าอากาศค่อนข้างร้อน
และที่นี่ก็เช่นกันครับไม่มีกล้องก็มาได้สนนราคาเดียวกัน(ที่นี่ผมก็ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกอีก
3รูป 60 บาท 15000 กีบ) น่าเสียดายที่ไม่ได้เข้าชมด้านในเพราะเป็นเวลาปิดพักเที่ยงพอดี เจ้าหน้าที่บอกต้องรอเวลาบ่ายโมงจะเปิดอีกที
(ที่นี่ก็เสียค่าเข้าชมครับ) ก็เลยเดินชมได้แค่ด้านนอกและบริเวณรอบๆพระธาตุแค่นั้นก็คุ้มแล้วครับ ผมตัดสินใจไม่รอเพราะกว่าจะเปิดให้เข้าอีกทีก็ตอนบ่าย อาจจะพลาดโปรแกรมที่เหลือได้ หลังจากที่ได้กราบไหว้บูชาอนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
ผู้ก่อสร้างองค์พระธาตุฯเพื่อความเป็นศิริมงคลแล้วจึงเริ่มออกเดินทางย้อนกลับมาทางเดิม
ระหว่างทางแวะซื้อน้ำดื่มเย็นๆ 1ขวด ราคาก็ประมาณ 12 บาท 3000 กีบ สอบถามได้ความว่า
ถ้าเดินตรงไปเรื่อยๆก็จะผ่านตลาดเช้า สถานที่ชอปปิ้งยอดนิยมของเวียงจันทน์
เดินไปเรื่อยๆจนสุดถนน ก็จะเจอ หอคำ
ซึ่งแต่เดิมเป็นพระราชวังที่ประทับของสมเด็จเจ้ามหาชีวิตของลาว
หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการใช้เป็นทำเนียบของประธานประเทศ
ปัจจุบันใช้เป็นที่พักรับรองอาคันตุกะของประเทศ ถ้าเลี้ยวขวาจะไปตลาดนัดริมแม่น้ำ สถูปดำฯล ถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะเจอ หอพระแก้ว ตรงข้ามกับหอพระแก้วก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์วัดสีสะเกด
หอพระแก้ว ตอนบ่ายๆ ครับ
ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐาน
พระแก้วมรกตก่อนที่จะอันเชิญมาประดิษฐานไว้ที่กรุงเทพฯ บ้านเรา
อดีตคงไม่ต้องเล่ากันมาก วันนี้มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างน้อย เสียค่าเข้าชม 20 บาท
5000 กีบ (แต่ที่นี่ไม่มีช่างถ่ายรูปเลยอดมีรูปที่ระลึก) ด้านหน้าจะเป็นร้านขายของที่ระลึกประเภทแบบเรียนภาษาลาว
ของเด็กๆชาวลาว น่าสนใจดีครับ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากฝึกภาษาลาวแบบง่ายๆหรือเก็บเป็นที่ระลึกก็เหมาะครับ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงประเทศลาว
เปิดให้เข้าชม ตั้งแต่เวลา 08.00 – 12.00 น., 13.00 น. - 16.00 น. (ภายในหอพระแก้ว ห้ามการถ่ายรูปทุกชนิดครับ)
พิพิธภัณฑ์วัดสีสะเกด บริเวณด้านหน้าและทางเข้า เดินข้ามถนนมาจากหอพระแก้ว
แต่เข้าไม่ทันปิดทำการซะก่อน แต่ไม่เป็นไรครับเวียงจันทน์อยู่ใกล้ที่สุดแล้ว
วันหน้าหากมีโอกาสคงได้กลับมาเก็บละเอียดอีกรอบ
เดินข้ามถนนจากฝั่งหอพระแก้วผ่านหน้าหอคำ
ตลาดนัดยามเย็นริมแม่น้ำกำลังตั้งร้าน สินค้าประเภทเสิ้อผ้า
แผ่นหนังแผ่นเพลงส่วนใหญ่ก็เป็นของไทย ทางด้านนี้จะเป็นพวกร้านค้า ร้านอาหารและบาร์จำนวนมาก
รวมถึงร้านกาแฟชื่อดัง โจมาคอฟฟี่ ไม่นานก็เจอป้ายบอกทางไปสถูปดำ เดินย้อนกลับขึ้นด้านบนไม่ไกลก็จะเจอ
สถูปดำ ลักษณะเป็นเจดีย์เก่าๆองค์เดียวตั้งอยู่กลางบ้านเรือนแบบสมัยใหม่ ใกล้ๆกันเป็น
ชาโตเดอลาว
ระหว่างทางเดินกลับโรงแรมที่พักครับ
ถ่ายมาให้ฝึกอ่านภาษาลาวกันกับป้ายโฆษณาต่างๆ และเท่าที่เห็นธนาคารดังๆของไทยหลายเจ้าก็มีสาขาอยู่ที่นี่เหมือนกัน
จบภารกิจสำหรับภาคกลางวันสำหรับวันนี้ครับ กลับเข้าที่พัก อาบน้ำอาบท่า แต่งตัวลงมายืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าโรงแรม เวียงจันทน์ยามราตรีช่วงนี้ไม่ค่อยคึกครื้น เพราะลาวกำลังจะจัดการประชุมใหญ่อะไรซักอย่าง ทำให้สถานบริการส่วนใหญ่ไม่ค่อยเปิดให้บริการ ผมก็เลยเลือกที่จะนั่งกินเบียร์อยู่ที่ร้านอาหารข้างๆที่พักนั่นเองกะว่าสักพักก็จะกลับขึ้นไปพักผ่อน แต่ที่ไหนได้ ลูกชายเจ้าของร้านที่นั่งกินกับเพื่อนๆของเขาอยู่หน้าร้าน พอทราบว่าผมเป็นคนไทยก็เลยเข้ามาชวนไปร่วมวงดื่มกินด้วยกัน เขาว่าพวกเขาเคยมาทำงานอยู่เมืองไทยหลายปี ตกลงแล้วค่ำคืนนั้นผมก็เลยนั่งดื่มกินอยู่กับเพื่อนใหม่ลูกชายเจ้าของร้านอาหารกับบรรดาเพื่อนๆสามล้อของเขาอีก 2-3คน ด้วยเบียร์ลาวรสชาดจืดๆไม่ค่อยถูกคอคนไทยราคาขายตกขวดละ 10000 กีบ 40 บาทไทย พวกเขาซื้อมาครึ่งลังพร้อมด้วยกับแกล้มอีกจำนวนหนึ่ง ผมซื้อเติมไปอีกลังนึง 100000 กีบ ประมาณ 400 บาทไทย ดึกดื่นพอสมควรก็ชักชวนกันยักย้ายไปเที่ยวผับแถวๆนั้นละครับ จนค่อนสว่างผับเลิกพากันไปหาอะไรร้อนๆกินก่อนนอน หมดค่าใช้จ่ายไปอีกประมาณ 100000 นึง กว่าจะกลับมาถึงที่พักเกือบตีสอง ผมต้องปลุกยามอยู่พักใหญ่กว่าจะเข้าโรงแรมได้ เรื่องงบประมาณ ถ้าไม่นับรวมค่าใช้จ่ายแบบฟุ่มเฟือยของผมประมาณ 800 บาทไทย 200000 กีบแล้ว ก็พอจะสรุปค่าใช้จ่ายสำหรับทริปชลบุรี-กทม-เวียงจันทน์ ได้คร่าวๆดังนี้ครับ
1 ค่ารถตู้ บ้านบึง-หมอชิต 120 บาท
2 ค่ารถทัวร์ หมอชิต-หนองคาย 490 บาท
3 ค่ารถโดยสาร หนองคาย – เวียงจันทน์ 60 บาท
4 ซิมและบัตรเติมเงินของลาว 180 บาท
5 โรงแรม+อาหารเช้า 650 บาท
6 ค่าผ่านแดน+ค่ารถ+ค่าถ่ายรูป+ค่าเข้าชม+ค่าอาหาร+อื่นๆ
300 บาท
รวมค่าใช้จ่ายขาไปโดยประมาณ 1800 บาทไทย ถ้ารวมขากลับถึงชลบุรีก็น่าจะเพิ่มอีกประมาณ
700 บาท รวมแล้วไม่น่าเกิน 2500 บาทไทย
น่าสนใจมั้ยครับเที่ยวเวียงจันทน์ 1วัน1คืนแบบคนเดียวในงบไม่เกิน 3000 บาทคุ้มครับ ผมว่าถ้า2คนช่วยกันหารค่ารถ
ค่าโรงแรม ค่าอาหาร ฯล ค่าใช้จ่ายน่าจะลดลงได้อีกเยอะ ถ้าเพื่อนๆพอหาเวลาว่างได้แนะนำให้ไปเที่ยวกันนะครับ เวียงจันทน์ ใกล้ๆเมืองไทย
ความปลอดภัยสูง ค่าใช้จ่ายไม่มาก ไม่มีปัญหาเรื่องภาษา ฯล ทั้งหมดก็เป็นข้อมูลคร่าวๆโดยผมเองครับ ทราบแล้วจัดกระเป๋าเตรียมตัวกันได้เลย ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น