หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กระเทาะเปลือกเรื่องโกหก


..."มุสาวาทา เวรมณีสิกขา ปะทังสะมา ทิยามิ" ศีลข้อสี่กล่าวไว้ว่า พึงละเว้นจากการกล่าวเท็จ ความหมายของคำว่าเท็จหรือมุสาคือไม่เป็นความจริง กล่าวเท็จคือพูดไม่จริง พูดโกหกหรือพูดปดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิด นอกจากนั้นยังรวมถึงการพูดให้คนอื่นเกิดความเสียหาย เกิดความลำบาก พูดให้คนอื่นแตกแยก พูดส่อเ้สียด พูดคำหยาบ และการพูดเพ้อเจ้ออีกด้วย

จะพูดไปนิสัยการโกหกคงอยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนานแล้ว นานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว มันก็เลยทำให้เรารู้สึกเฉยๆเมื่อได้ฟังคำโกหกบ้างหรือจะเป็นคนที่โกหกเองซะบ้างก็ดี (ถ้ามันไม่ร้ายแรงอะไรจนเกินไปนัก) และผมก็เชื่อว่าพวกเราทุกๆคนคงเคยพูดเรื่องโกหกกันมาบ้างใช่มั้ยครับ แต่จะโกหกเพื่อผลประโยชน์ของตนเองหรือของผู้อื่นก็ตามที จะบ่อยหรือไม่บ่อยมากหรือน้อยแค่ไหนก็อีกเรื่องนึง แต่คุณเคยสงสัยกันบ้างมั้ยล่ะว่าทำไมคนเราถึงชอบโกหก และมันมีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้เราต้องโกหกหรือจำเป็นที่จะต้องพูดโกหก จะโกหกทำไมแล้วทำไมต้องโกหก? วันนี้เราลองมาค้นหาสาเหตุของเรื่องนี้กันดูครับ...

1.โกหกเพื่อรักษาน้ำใจ
ผมเชื่อแน่ๆว่า ทุกคนคงเคยโกหกคนอื่นด้วยเหตุนี้กันมาบ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะน่า การโกหกด้วยเหตุผลนี้ อาจฟังดูไม่ร้ายแรงมากมายใหญ่โตอะไรนัก แต่ที่ต้องโกหกไปก็เพื่อถนอมน้ำใจของคนฟังเท่านั้นเอง ผมคิดว่าคุณคงเคยเจอคำถามแบบนี้มาบ้าง "ฝีมือการทำอาหารของชั้นเป็นไง?" "ตอนนี้ชั้นอ้วนไปหรือปล่าว?" "รองเท้าคู่นี้สวยดีมั้ย ?" เป็นคำถามที่ตอบยากใช่มั้ยล่ะ สมมุติว่าคุณตอบไปด้วยความรู้สึกจากใจจริงของคุณ ลองทายสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นทางออกที่สวยงามที่สุดคือ การโกหกด้วยเหตุผลข้อที่หนึ่งนี่แหละครับ

2.การโกหกเพื่อรักษาหน้า
ในชีวิตความเป็นจริงแล้ว เราต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า ในบางครั้งเรื่องบางเรื่องหากพูดความจริงออกไปก็อาจทำให้ตัวเราเองรู้สึกแย่และอับอายขายหน้า คงไม่มีใครหน้าไหนหรอกครับที่สารภาพตามตรงว่าตัวเองแอบผายลมในลิฟท์ เพราะการพูดความจริงเช่นนั้นนอกจากจะอับอายแล้วยังทำให้เราดูแย่ในสายตาคนอื่นอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจำเป็นต้องโกหกด้วยเหตุผลข้อสองนี้บ้าง เพื่อรักษาหน้าของตัวเองเอาไว้ครับ

3.การโกหกเพื่อเลี่ยงการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลยอดนิยมอีกข้อหนึ่งครับ ไม่ว่าจะโกหกด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามแต่ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีคนมาขอความช่วยเหลือจากคุณไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆก็ตาม คุณมักจะบ่ายเบี่ยงปฏิเสธที่จะช่วยเหลือด้วยการใช้คำโกหกแบบนี้แทน เช่น เมื่อเพื่อนของคุณวานให้ช่วยแวะไปเอาของที่ร้านค้าหน้าปากซอยให้หน่อยเพราะต้องทำงานต่อตอนกลางคืน ด้วยเห็นว่าคุณต้องเดินทางผ่านทางนั้นทุกวัน แต่คุณไม่อยากไปก็เลยต้องใช้การโกหกไปว่า พอดีวันนี้ต้องเดินทางไปธุระในเมืองก่อน กว่าจะกลับเข้ามาคงดึก ทั้งที่จริงแล้วคุณก็ไม่ได้มีโครงการไปธุระอะไรที่ไหนหรอก แต่ที่ต้องบอกไปอย่างนั้นเพราะคุณขี้เกียจไปแค่นั้นเอง

4.การโกหกเพื่อเลี่ยงการสนทนาที่ยาวนาน
ในบางครั้งการสนทนากับใครบางคน อาจก่อให้เกิดการสนทนาแบบยาวนานและต่อเนื่องโดยไม่ตั้งใจ จะด้วยเรื่องใดหรือเหตุการณ์ใดๆก็ตามที  ซึ่งในบางครั้งคุณก็ไม่ได้มีเวลามากมายขนาดนั้นที่จะมาคอยนั่งฟัง คอยตอบคำถามหรือร่วมวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานได้ หลายๆคนจึงเลือกที่จะโกหกอาจจะด้วยเหตุผลอะไรซักอย่างที่ยกมาเป็นเหตุ เพื่อตัดบทการสนทนาที่แสนยาวนานนั้น แล้วจึงค่อยขอตัวออกจากวงสนทนา

5.การโกหกเพื่อคุยโวโอ้อวด
ผมคิดว่าคุณๆหลายๆท่านคงเคยประสบพบเจอกับบุคคลประเภทนี้กันมาบ้าง คนประเภทนี้มักจะชอบคุยใหญ่คุยโต คุยโวโอ้อวด แบบว่ามีโน่นมีนี่มีนั่นที่ใครเขาไม่เคยมีกัน หรือรู้จักคนใหญ่โตท่านนั้นท่านนี้ที่ใครๆไม่เคยได้รู้จักกัน ทั้งหมดนั้นเพียงเพื่อเป็นการสร้างภาพให้ตัวเองดูดีขึ้น ยิ่งถ้าคู่สนทนาทำเฉยๆก็ยิ่งเอาใหญ่ เพราะบุคคลประเภทนี้มักไม่ค่อยรู้ตัว ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เป็นที่น่ารังเกียจของคนที่อยู่รอบข้างเอามาก ๆ เพียงแต่พวกเขาอาจไม่แสดงออกให้รู้ก็เท่านั้นเอง

6.การโกหกเพื่อหวังผลประโยชน์
อันที่จริงในชีวิตคนมันก็ต้องมีสักครั้งแหละน่า ที่เราจำเป็นต้องโกหกเพื่อหวังผลประโยชน์หรือรักษาผลประโยชน์ของตัวเองเอาไว้ ถึงแม้จะไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำก็ตาม แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆนิด ๆ หน่อย ๆ ซึ่งไม่ได้ทำให้ใครต้องเดือดร้อน การโกหกประเภทนี้ก็เป็นเหตุผลที่คนเรามักจะหยิบยกมาใช้เป็นข้ออ้างในการโกหกได้เหมือนกัน เช่น คุณอาจจะเคยโกหกเกี่ยวกับเรื่องรายรับที่แท้จริงของคุณ เพื่อให้มีโอกาสได้รับการอนุมัติให้ทำบัตรเครดิตหรือการกู้เงินจากธนาคาร เป็นต้น

7.การโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ
คงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความครับ สำหรับการโกหกด้วยเหตุผลนี้ เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ ซึ่งจริงๆแล้วการโกหกประเภทนี้มันเริ่มต้นมีมาตั้งแต่สมัยที่คุณยังเป็นนักเรียนแล้วหละ คุณอาจจะเคยโกหกครู อาจารย์ด้วยสารพัดเหตุผลเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ นี่ยังไม่รวมถึงการโกหกเจ้านาย โกหกพ่อแม่ หรือแม้กระทั่งโกหกแฟนก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็เพราะคุณไม่อยากต้องรับโทษในการกระทำของคุณนั่นเอง

8.การโกหกเพื่อเข้าสังคม
ด้วยสภาพสังคมที่เป็นอยู่เช่นในปัจจุบัน ไม่น่าแปลกใจที่คนในสังคมต่างต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เราจึงมักจะเห็นว่าบางคนก็ยอมแม้กระทั่งการโกหกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง ยอมที่จะละทิ้งความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง เพียงเพราะต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมระดับสูงนั้น เพื่อยกระดับฐานะทางสังคมของตนให้ดีขึ้น เนื่องจากไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนล้าหลังตกยุคสมัยนั่นเอง 

9.การโกหกเพื่อยืนยันความคิดของตนเอง
หลาย ๆ ครั้งที่คนเรามักปักใจเชื่อว่าความคิดของตัวเองนั้นถูกต้องเสมอ ทั้งๆที่ในบางครั้งแล้วมันก็ไม่ถูกต้องเสมอไป แต่ด้วยความที่มั่นใจในความคิดของตัวเองว่าถูกต้องที่สุดแล้ว จึงทำให้คนเหล่านี้ต้องสรรหาเหตุผลต่างๆนาๆมาเพื่อยืนยันความคิดของตัวเองจนกลายเป็นการโกหกไปโดยไม่รู้ตัว

10.การโกหกเพื่อโน้มน้าวจิตใจ
การโกหกลักษณะนี้พูดง่าย ๆ ก็เหมือนกับการหลอกลวงนั่นเอง โดยผู้พูดพยายามที่จะเข้าไปพูดโน้มน้าว หรือชักจูงจิตใจของคนฟังด้วยถ้อยคำโกหกที่เรียงร้อยมาแล้วเป็นอย่างดี จนทำให้ผู้ฟังเกิดอาการคล้อยตามและหลงเชื่อในคำโกหกนั้นไปโดยไม่รู้ตัว โดยทั้งนี้ก็เพื่อต้องการเปลี่ยนความคิดของผู้รับฟังเพื่อประโยชน์ของตนนั่นเอง

เป็นอย่างไรบ้างครับ จากข้อความทั้งหมดคงพอทำให้เราทราบเหตุผลหลักๆที่ทำให้คนเราต้องโกหกกันพอสมควรครับ แต่อย่างไรก็ตามมุมมองในเรื่องการโกหกของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน หลายคนคิดว่าการโกหกด้วยเรื่องเพียงเล็กๆน้อย หรืออาจจะเรียกว่าการบอกไม่หมดจะดูดีกว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นอยู่ทุกๆวันและเราก็สามารถยอมรับมันได้ แม้ว่าคุณจะบอกว่าเพียงเพื่อความสบายใจก็ตามเถอะ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วการโกหกไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ยังไงก็เป็นเรื่องโกหกอยู่ดี ทั้งนี้มันก็แล้วแต่คุณแล้วล่ะครับว่าจะเลือกโกหกด้วยเหตุผลข้อไหน...

ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก http://men.kapook.com 
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://board.postjung.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น