หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รับมือหน้าฝนแบบคนไกลโรค




เมื่อความคิดถึง มาพร้อมกับฝน ห่วงหาใครบางคน เมื่อฝนเป็นสาย ไม่รู้เลยว่าเธอ ติดฝนอยู่ไหน จะเปียกฝนหรือเปล่า กังวลอยู่นะ ฝากความคิดถึง กลับไปกับฝน ส่งถึงใครบางคน ให้เธอได้รู้ว่า ให้เธอรีบกลับมา อย่าลืมว่ามีคนห่วงใย 
ข้างต้นคือเนื้อเพลงบางส่วนของเพลง คิดถึงนะ จากแพรว คณิตกุล เนตรบุตร เรื่องราวเกี่ยวกับสายฝนกับใครอีกคนที่อาจจะอยู่แสนไกล ใช่แล้วครับ หน้าฝนกำลังหมุนเวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง ฤดูกาลแห่งตวามชุ่มฉ่ำ เปียกปอน เลอะเทอะ เฉอะแฉะ ฯล ฤดูกาลแห่งความเหงาเข้าปกคลุม ฤดูกาลแห่งความคิดถึงกำลังเดินทางฝ่าสายฝนไปหาใครบางคน ฯล ฤดูกาลที่หลายๆคนชอบและอีกหลายๆคนไม่ชอบ ด้วยเหตุและผลที่ต่างกันไป แต่ถึงจะชอบหรือไม่ชอบอย่างไร ในความเป็นจริง เราคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงกฏแห่งธรรมชาติไปได้  แต่ว่าเรายังสามารถปรับตัวให้อยู่ร่วมกับฤดูฝนได้อย่างมีความสุขและปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บครับ
ในช่วงหน้าฝนนี้ ผมมีวิธีง่ายในการดูแลสุขภาพในช่วงหน้าฝนมาฝากกันครับ มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรบ้างที่มาพร้อมกับหน้าฝน มีวิธีการแพร่เชื้อหรือสามารถติดด่อได้ด้วยวิธีการใดบ้าง และเรามีวิธีในการระมัดระวังป้องกันได้อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการดูแลตัวเองรวมไปถึงบุคคลที่เรารักและบุคคลในครอบครัวของเรา ลองมาดูกันครับ
1.กลุ่มโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
เป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย  ทั้งร้อนจัดและมีฝนตกในบางวัน จึงอาจทำให้ผู้คนป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะโรคไข้หวัด ทั้งหวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในอากาศ แถมยังติดต่อกันได้ง่ายๆเพียงแค่การไอ จาม หรือมือที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ การใช้สิ่งของร่วมกัน
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายสู่ผู้อื่น เราควรใช้ผ้าปิดปากและจมูกเมื่อเวลาไอ จาม หรือจะสวมหน้ากากอนามัยก็เป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด และที่สำคัญ อย่าลืมหมั่นล้างมือบ่อย ๆ เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่เราอาจจะไปสัมผัสมาโดยไม่รู้ตัว และเป็นการป้องกันไม่ให้เราแพร่เชื้อโรคไปสู่ผู้อื่นอีกทางหนึ่ง
2.กลุ่มโรคที่เกี่ยวกับน้ำและอาหาร
โรคในกลุ่มนี้ที่พบบ่อยในหน้าฝนคือ โรคท้องเดิน โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษและ ตับอักเสบ เป็นต้น ซึ่งสาเหตุหลักๆมักเกิดจากรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ รวมทั้งการรับประทานอาหารแบบสุก ๆ ดิบ ๆ หรือใช้น้ำที่ไม่สะอาดเพียงพอในประกอบอาหาร และยังรวมถึงการรับประทานอาหารที่เก็บไว้นานข้ามมื้อหรือเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป เช่น อาหารปรุงสำเร็จที่ทำในปริมาณมาก หรืออาหารที่จัดเก็บไม่ถูกวิธี ก็อาจจะบูดเสียได้ง่าย ๆเช่นกันครับ เพราะฉะนั้นเราควร
- รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ไม่มีแมลงวันตอม ไม่ควรทานอาหารค้างคืน ถ้าจำเป็นควรอุ่นให้ร้อนอีกครั้งก่อนรับประทาน
- ดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำที่ต้มแล้ว หรือน้ำบรรจุขวดที่มี อย.รับรองคุณภาพ
- ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง ควรล้างมือให้สะอาดเป็นนิสัย
- ขับถ่ายอย่างถูกลักษณะ และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังขับถ่าย
3.โรคฉี่หนู หรือเลปโตสไปโรซิส
เพราะมีชื่อเรียกว่า โรคฉี่หนู เลยทำให้หลายๆท่านเข้าใจผิดว่า โรคฉี่หนูมีพาหะคือ "หนู" เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว พาหะของโรคฉี่หนู มีได้ทั้งสัตว์เลี้ยงทั่วไป เช่น สุนัข สุกร โค กระบือ รวมทั้งสัตว์ป่า โดยเชื้อเหล่านี้จะปะปนอยู่ในน้ำ และสิ่งแวดล้อมในที่ที่มีน้ำท่วมขัง หากเราไปสัมผัสถูกต้องเข้า เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางบาดแผล รอยขีดข่วน เยื่อบุจมูก เยื่อบุตา เยื่อบุในช่องปากได้ง่าย ๆ อาการที่เด่นชัดของโรคนี้คือ หลังได้รับเชื้อประมาณ 1-2 อาทิตย์ จะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง คอแข็ง สลับกับไข้ลดและหากเป็นมากอาจมีจุดเลือดออกที่เพดานปาก หรือตามผิวหนัง ร้ายแรงจนกระทั่งตับวาย ไตวายได้เลยทีเดียว
วิธีการการป้องกันโรคฉี่หนูเบื้องต้น เราควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำสกปรกโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีบาดแผลที่เท้า หากต้องเดินย่ำน้ำที่ท่วมขังควรสวมรองเท้ายาง  หลังจากการสัมผัสกับน้ำสกปรก ควรรีบชำระล้างด้วยน้ำสบู่และเช็ดให้ผิวหนังแห้งอยู่เสมอ หมั่นทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้สะอาด ควบคุมและกำจัดหนู และหลีกเลี่ยงอาศัยอยู่ใกล้บริเวณที่มีสัตว์เลี้ยงที่อาจเป็นพาหะของโรค
4.โรคน้ำกัดเท้า
กลุ่มเสี่ยงต่อโรคนี้คือ คนที่ต้องเดินในแหล่งน้ำ ลุยน้ำสกปรกนานๆ เช่น คนที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง หรือต้องลุยน้ำขังในช่วงฝนตก โดยเชื้อราจะทำให้ผิวหนังซอกนิ้วเท้าแดง ขอบหนานูนเป็นวงกลม และคันตามซอกนิ้วเท้าและผิวหนัง ลอกออกเป็นขุยๆเป็นผื่นที่เท้า ผิวหนังที่เท้าเกิดพุพอง  นิ้วเท้าหนาและแตกที่เป็นมากและพบบ่อยจะเกิดตรงซอกนิ้วแต่บางทีก็สามารถเกิดที่ส้นเท้าได้เช่นกัน
ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการเดินในที่ที่มีน้ำขัง หรือน้ำท่วมนานๆ แต่หากจำเป็นต้องเดินลุยน้ำ ดีที่สุดคือสวมรองเท้าบูท ควรรีบทำความสะอาดและเช็ดเท้าให้แห้ง โดยเฉพาะซอกนิ้วเท้าหลังจากขึ้นจากน้ำทุกครั้ง ควรใส่ถุงเท้าและรองเท้าที่แห้ง การใส่ถุงเท้าที่ทำด้วยขนสัตว์จะดีกว่าผ้าฝ้ายเพราะผ้าขนสัตว์ช่วยซับความชื้นได้ดีกว่า ถ้ารองเท้าเปียกควรเปลี่ยนรองเท้า ควรมีรองเท้า 2 คู่ ใส่สลับกัน ไม่ควรใส่รองเท้าคู่เดิมทุกวัน และหากพบว่าผิวหนังเริ่มเปื่อย เกิดตุ่มคัน น้ำกัดเท้า หรือมีบาดแผล ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรักษาอาการดังกล่าวก่อนที่จะลุกลามจนทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน
5.โรคไข้เลือดออก 
พาหะนำโรคของไข้เลือดออกก็คือ "ยุงลาย" ซึ่งหากได้รับเชื้อประมาณ 5-8 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง (38.5-41 องศาเซลเซียส) ติดต่อกัน 2-7 วัน หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก บางรายเบื่ออาหาร ปวดท้อง อาเจียน จากนั้นจะมีจุดแดงเล็ก ๆ ขึ้นตามลำตัว ในรายที่มีอาการรุนแรงจะเกิดภาวะช็อกหลังไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ตัวเย็น ปากเขียว บางรายมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ถ่ายเป็นเลือด หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ภายใน 12-24 ชั่วโมง
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันไวรัสไข้เลือดออกอย่างได้ผลดีนัก  ดังนั้นการป้องกันโรคจึงต้องอาศัยการควบคุมการแพร่พันธุ์ของยุงลายและป้องกันไม่ให้ยุงลายกัดเป็นหลัก  วิธีการในการควบคุมการแพร่ระบาดของยุงลายคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยป้องกันไม่ให้มีน้ำขังในภาชนะต่างๆ เช่น คว่ำขัน กะละมัง ที่อยู่นอกบ้าน ไม่ให้มีน้ำขัง ใส่สารฆ่าแมลงหรือสารควบคุมการเจริญเติบโตของยุงลาย เช่น ทรายอะเบตในพื้นที่  ร่วมกับการพ่นยาฆ่าแมลงเป็นครั้ง ๆ นอกจากนี้ยังอาจสามารถป้องกันไม่ให้ยุงลายกัดได้โดยใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด นอนกางมุ้งหรือใช้สารขับไล่แมลงเป็นต้น
6.โรคเยื่อตาอักเสบ หรือโรคตาแดง
เยื่อบุตาอักเสบ คืออะไร เยื่อบุตา คือ เยื่อแผ่นบางๆ ครอบคลุมส่วนที่เป็นตาขาว และผลิตเมือกเพื่อเคลือบและหล่อเลี้ยงผิวของดวงตา เมื่อเยื่อบุตาเกิดการระคายเคืองหรือบวม เส้นเลือดบริเวณนั้นก็จะบวม และทำให้ตาค่อยๆ แดงขึ้น มีอาการคัน ในบางกรณีตาแดงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดได้ มีอาการเจ็บตา สายตามัว ตาไม่สู้แสงเป็นอาการทั่วไปของโรคนี้ หากพบว่ามีอาการดังกล่าวควรพบจักษุแพทย์ให้เร็วที่สุด
โรคเยื่อบุตาอักเสบสามารถติดต่อกันได้จากน้ำตาผู้ป่วยดังนั้นในการป้องกันเราควรหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่นผ้าเช็ดหน้าและผ้าเช็ดตัว การล้างมือบ่อยๆ เป็นการช่วยลดการติดต่อของการอักเสบ ภูมิแพ้ และอาการระคายเคืองจากสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นสาเหตุของตาแดงอีกทางหนึ่ง
7.อันตรายจากสัตว์มีพิษต่างๆ
ในช่วงที่ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วม อาจมีสัตว์มีพิษต่างๆ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง หนีน้ำท่วมเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านเรือน ซึ่งหากเราไม่ระมัดระวังก็อาจถูกสัตว์เหล่านี้กัด หรือต่อยได้ เพราะฉะนั้นควรดูแลรักษาความสะอาดบริเวณรอบๆบ้านและในบ้าน ควรจัดบ้านให้สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ  เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สัตว์มีพิษเหล่านี้เข้ามาอยู่อาศัยได้ หรือเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงและแมลงอันไม่พึงประสงค์
8.โรคอาหารเป็นพิษจากเห็ดพิษ
ในช่วงหน้าฝนของทุกปีจะเป็นช่วงที่มีผู้ป่วยด้วยการรับประทานเห็ดพิษ ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นจำนวนมาก หากรับประทานเห็ดพิษเหล่านี้เข้าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจล้มป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียวจากสถิติที่ผ่านมาของกรมควบคุมโรค พบว่า ชาวภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้เสียชีวิตจากการรับประทานเห็ดพิษมากที่สุด
วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ ไม่ควรเก็บเห็ดที่ไม่แน่ใจหรือเห็ดที่ไม่เคยมีใครนำมารับประทานมาปรุงอาหาร ควรเลือกรับประทานเฉพาะเห็ดที่แน่ใจแล้วเท่านั้น
และเพื่อสุขภาพที่ดีนั้น เราควรหมั่นรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และอบอุ่นอยู่เสมอ โดยการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ  ดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่ปรุงสุกสะอาด ทำจิตใจให้แจ่มใส พักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ร่างกายของเราก็จะมีภูมิต้านทานเพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกายของเราได้แล้ว ขอให้มีความสุขกับหน้าฝนและอย่าลืมรักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ ...
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://ffffound.com

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เพื่อนร่วมงาน 9 ประเภท

 

ผมเชื่อแน่ๆว่าในองค์กรแต่ละองค์กร  ย่อมประกอบไปด้วยพนักงานที่มีพื้นฐานชีวิตที่แตกต่างและหลากหลายในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเมือง ศาสนา กีฬา ความเชื่อ พื้นฐานด้านความเป็นอยู่ ภาษา อาหารการกิน อะไรต่ออะไรเยอะแยะมากมาย แต่เมื่อบุคคลทั้งหมดดังกล่าวต้องเข้ามาอยู่ในที่เดียวกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน มีการติดต่อสื่อสารและทำงานร่วมกันในระยะเวลานานๆ ย่อมทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา และที่เป็นปัญหาหลักเรื่องหนึ่งขององค์กรก็คือปัญหาเรื่อง "คน" นี่แหละครับ สำหรับผู้ที่มีหน้าที่สายงานในการบังคับบัญชามักจะพบเห็นและสัมผัสกับปัญหาเหล่านี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น  ในองค์กรที่ต่างกันก็ย่อมมีปัญหาเรื่องของ "คน" ที่แตกต่างกันไป แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะประสบการณ์จากการทำงานในสายบังคับบัญชาหลายปีของผมคนเดียว  ซึ่งก็พอที่จะทำให้ผมแยกประเภทของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ โดยในที่นี้ขอเรียกโดยรวมว่า "เพื่อนร่วมงาน" ก็แล้วกัน ออกเป็น 9 ประเภทใหญ่ๆตามนิสัยส่วนตัวและนิสัยในการทำงานได้ประมาณนี้ครับ

1. ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน คนประเภทนี้กลัวการเปลี่ยนแปลงครับ กลัวว่าตัวเองจะต้องทำในสิ่งที่ไม่ถนัด กลัวว่าจะต้องรับภาระหน้าที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆในองค์กร  ดังนั้นทุกๆครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ บุคคลประเภทนี้จะต้องคัดค้านเอาไว้ก่อนเสมอ  เท่านั้นยังไม่พอเขายังพยายามชักชวนเพื่อนร่วมงานให้เห็นดีเห็นงามกับการคัดค้านอีกด้วย

2. เช้าชามเย็นชาม คนประเภทนี้ทำงานแบบย่ำอยู่กับที่ครับ เมื่อแรกเข้าเคยเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรกับใคร ทำไปเรื่อยๆ อยู่ไปวันๆ มักไม่ค่อยพบว่าเขามีการพัฒนาตามที่ควร อาจเป็นเพราะความเคยชินในทำงานแบบเดิมๆ เมื่อทำแล้วรู้สึกว่าปลอดภัยสบายดี ก็เลยไม่คิดปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไร

3. เรื่องส่วนตัวพันพัวกับเรื่องงาน คนประเภทนี้มักจะเป็นศูนย์รวมของปัญหา ปัญหาส่วนตัว ปัญหาครอบครัว ญาติพี่น้อง ปัญหาเรื่องหนี้สิน ปัญหาในที่ทำงาน ปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ฯล สารพันปัญหาที่ทำให้ก่อให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจ บางคนก็เปลี่ยนเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว บางคนก็กลายเป็นคนขี้หงุดหงิดเจ้าอารมณ์ มีผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง และอาจก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมงานได้โดยไม่รู้ตัว 

4. ความคิดใหญ่ความมั่นใจในน้อย คนประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีความคิดสร้างสรรค์ มีไอเดีย มีวิธีการอะไรที่ดีๆอยู่ในหัวสมองค่อนข้างมาก หากแต่ไม่ค่อยกล้าแสดงออก ไม่กล้าที่จะนำเสนอ อาจเพราะกลัวว่าจะไปล้ำหน้ารุ่นพี่หรือผู้บังคับบัญชา หรือบางทีก็กลัวว่าถ้าเกิดนำเสนอไปแล้ว เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแล้วจะถูกตำหนิ ถูกประณาม เมื่อคิดแบบนี้จึงไม่กล้าพูดกล้านำเสนอสิ่งที่คิดออกไป ได้แต่คอยรับคำสั่งและปฏิบัติตามแบบไม่เต็มใจ

5. เหลี่ยมจัด ลอบกัด ปัดความรับผิดชอบ คงไม่ต้องขยายความกันมากครับ คนประเภทนี้ส่วนใหญ่เจ้าเล่ห์เพทุบาย มักหลีกเลี่ยงการตัดสินใจ ชอบรับได้แต่ไม่ค่อยรับผิด อยู่ใกล้ชิดผู้บังคับบัญชา ต่อหน้านายทำงานหนักลับหลังทำงานน้อย คอยจับผิด คิดแต่แสวงหาแต่หนทางที่จะได้แต่ประโยชน์เข้าตัว ประเภทเอาดีใส่ตัวแล้วโยนความชั่วให้คนอื่น ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง
 
6. หลงตัวเอง เก่งคนเดียว คนประเภทนี้มักคิดว่าในที่ทำงงานนี้ไม่มีใครฉลาดเท่า เก่งเท่า ไม่มีใครจะคิดอะไรได้ดีไปกว่าตน มักคิดว่าคงไม่มีใครทำงานแทนตนได้ จึงไม่ค่อยชอบกระจายงาน ชอบเก็บงานไว้กับตัว เพราะกลัวว่าถ้าให้คนอื่นทำแล้วจะต้องมาตามแก้ไข ไม่ชอบทำงานร่วมกับใคร รวมทั้งไม่ค่อยชอบฟังคำแนะนำจากใครอีกด้วย

7. หนักไม่เอา เบาไม่สู้ อู้ตลอด คนประเภทนี้ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ทำตัวยุ่งๆเดินไปเดินมาเพียงเพื่อให้เวลาหมดไปวันๆ สั่งงานเช้าได้เย็น สั่งเย็นได้ข้ามวัน เรามักจะเห็นบุคคลประเภทนี้อยู่ในวงเสวนาต่างๆมากกว่าจะเห็นอยู่ตามเครื่องจักรหรือที่ทำงาน ข้ออ้างเยอะ ชอบกินแรงคนอื่นเป็นประจำ  ถ้ามีโอกาสหลบได้เป็นหลบเลี่ยงได้เป็นเลี่ยง  และส่วนใหญ่ไม่ยอมเสียสละเพื่อใคร

8. จุกจิกจู้จี้ ขี้โมโห คนประเภทนี้โกรธง่ายหายเร็ว ประเดี๋ยวก็เดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย ต่อมโมโหตื้น ปากไวกว่าความคิด เป็นคนที่ไม่เคยเห็นอะไรพอดีในสายตา ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ถ้าไม่พอใจก็มักแสดงอาการออกมาทันที บุคคลประเภทนี้มักจะพูดออกไปหรือกระทำลงไป โดยไม่ค่อยคิดคำนึงถึงจิตใจผู้อื่น แต่ถ้าถูกเอาคืนบ้างเขาจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยทีเดียว 
 
9. ขาดมนุษยสัมพันธ์ คนประเภทนี้มักเป็นคนตรงไปตรงมา ปากตรงกับใจ คิดอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น จะเรียกว่าขวานผ่าซากก็ได้  ถึงแม้ว่าในใจจะมีเจตนาดีแต่ว่าแสดงออกไม่ค่อยเป็น ทำให้ผู้ร่วมงานอาจเข้าใจผิดคิดว่าเย่อหยิ่ง จองหอง ไม่อยากคบค้าสมาคมรวมถึงไม่อยากร่วมงานด้วย

นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลุ่มคนประเภทใหญ่ๆ เท่าที่ผมเคยได้พบเจอเคยได้ร่วมงานกัน จริงๆแล้วในองค์กรอื่นๆอาจจะมีมากกว่านี้ก็ได้ ต่างกันไปตามปัจจัยพื้นฐานของแต่ละองค์กร และผลจากการแบ่งเพื่อนร่วมงานออกเป็น 9 ประเภทดังกล่าว ทำให้ผมนึกถึงทำให้นึกถึงประโยคๆหนึ่งที่ว่า "ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง" คำกล่าวข้างต้นล้วนเป็นความจริงทุกประการ ดังนั้นในการที่บุคคลทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น จะต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้องค์กรและข้อจำกัดเดียวกัน ติดต่อสื่อสารและทำงานร่วมกัน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่แต่ละบุคคลต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากันได้ บางคนต้องลดและบางคนก็ต้องเพิ่ม จึงจะได้ผลงานที่ดีมีและประสิทธิภาพเป็นประโยชน์ต่อองค์กรสูงสุด  และที่สำคัญการที่เราไม่ต้องมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับใครก็จะทำให้ตัวเราเองมีความสุขในการทำงานด้วย ใช่มั้ยครับ... 

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.hrchonburi.or.th

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

“เงิน” กับ “เวลา” คุณคิดว่าอะไรสำคัญ ?






ถ้ามีใครสักคนถามคุณว่า เงิน กับ เวลาคุณคิดว่าเรื่องใดสำคัญเป็นอันดับแรกสำหรับชีวิต ? อาจจะเป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะในความเป็นจริงเราต้องยอมรับกันว่า การที่จะได้มาซึ่งเงิน เราก็ต้องเอาเวลาไปแลกเปลี่ยนมา และบางครั้งการจะให้ได้มาซึ่งเวลา เราก็จำเป็นต้องเอาเงินไปแลกมาเหมือนกัน นั่นทำให้เห็นได้ว่าการที่เราจะบริหารทั้งเรื่องของเงินและเวลาให้ลงตัวได้มากที่สุดนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผู้อยู่ในสถานะมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ

เพื่อนๆของผมบางคน เลือกที่จะมีความสุขกับการอยู่ว่างๆ ไม่มีงาน ไม่มีเงินและไม่มีอะไรเช่นกัน
เพื่อนๆบางคน ก็ทำงานเพื่อให้มีกิน มีใช้แค่เดือนชนเดือนก็ยังเป็นเรื่องยาก

เพื่อนๆบางคน ยอมทำงานทั้งชีวิตเพื่อแลกกับสิ่งที่ต้องการ บ้านสักหลัง รถสักคัน ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น

เพื่อนๆบางคน มุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก เพียงเพราะพอใจกับการเห็นตัวเลขในบัญชีเงินฝากที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงมีเวลาก็ไม่คิดว่าจะใช้มัน

เพื่อนๆบางคน ดิ้นรนเป็นเจ้าของกิจการมุ่งมั่นทำงานจนถึงขั้นร่ำรวยในระดับหนึ่ง มีอำนาจการจับจ่ายได้ดั่งใจ แต่พวกเขาก็ยังถูกกักขังไว้ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบในงานที่ทำ เพื่อนๆเหล่านี้ล้วนแต่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อยได้เงินเยอะแต่มีเวลาใช้จ่ายน้อย

แต่กับเพื่อนบางคน เขาก็ไม่ได้ทำงานหนักมากหากเทียบกับคนอื่นๆข้างต้น แต่ก็จัดว่าพอมีเงินในระดับหนึ่ง แถมยังมีเวลาเพื่อที่จะใช้เงินที่หามาได้ อย่างเต็มที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกด้วย เรียกได้ว่ามีพร้อมทั้งเงินทั้งเวลา กรณีนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องที่ผมเห็นว่าน่าสนใจ

นั่นสิ...เพราะอะไร ?

สิ่งที่ผมเห็นได้ชัดคือบุคคลประเภทนี้ เขารู้จักการใช้ทรัพย์สินหรือเงินที่มีให้ทำงานแลกเงินแทนที่ตัวเอง เขาแค่คอยดูแลและบริหารจัดการนิดๆหน่อยๆ ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องทำงาน เขายังคงต้องทำงานแต่ทำแบบสบายขึ้น หยุดได้ พักได้ ไม่ต้องทำงานเต็มเวลา แต่ทว่าทรัพย์สินเหล่านั้นก็ยังทำงานทำเงินสร้างรายได้ให้เขาอย่างสม่ำเสมอ

ผมเองก็ยอมรับว่า ผมก็อยากมีเงิน จึงต้องเอาเวลาเข้าไปแลก จนมาถึงจุดๆหนึ่ง ก็พอมีเงินสะสมบ้างนิดหน่อย ไม่ถึงกับร่ำรวยอะไรหรอกครับ แต่ความรู้สึกมันกลับบอกว่า สิ่งที่ทำอยู่ ณ ปัจจุบันมันยังไม่ใช่ ผมจะทำแบบเดิมต่อไปเรื่อยๆก็ได้ ทำงานเก็บเงินอย่างสม่ำเสมอสักวันผมอาจมีเงินมากพอ แต่กลับยังไม่รู้สึกว่ามันเป็นไปในแบบที่ต้องการ ถึงจะมีรายได้เข้ามาเรื่อยๆก็จริง แต่มันเป็นรายได้จากการที่ต้องเอาพลัง เวลา แรงกาย แรงใจ เข้าไปแลกมา เป็นงานที่ติดเงื่อนไขว่า หากเรายังทำต่อไหวก็ได้เงิน หากหยุดทำก็ไม่ได้เงิน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ลูกจ้าง พนักงานบริษัท ห้างร้านทุกท่าน ล้วนแต่อยู่ในเงื่อนไขนี้ทั้งหมด

แต่พึงระลึกไว้อย่างนะครับว่า เราไม่ควรแสวงหาวิธีที่ไม่ต้องทำงานใดๆแต่ได้เงินเยอะๆ วิธีการนั้นมันอาจมีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริงก็ไม่ทราบ ที่แน่ๆคือคนเราถ้าอยากมีเงินก็ต้องทำงาน แต่จะเป็นงานอะไร ค่าตอบแทนเท่าไหร่และต้องใช้เวลานานแค่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ถึงวันนี้ผมยังคิดไม่ออก แต่สักวันผมคงคิดหาทางสร้างความสมดุลระหว่างเงินกับเวลาให้กับตัวเองจนได้ล่ะน่า...

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://9oarahan.tistory.com

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บทเรียนชีวิตจากวิชาคณิตศาตร์

   ผมไปอ่านเจอบทความนี้มาจากหน้าเว็บหนึ่ง อ่านแล้วถูกใจ เลยขออนุญาตินำมาขยายความตามรูปแบบของตัวเองบ้าง ลองอ่านกันดูนะครับ...

   ในชั่วโมงคณิตศาตร์ คุณครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กๆว่า "ถ้าเรามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของไป 3 บาท เราจะได้รับเงินทอนเท่าไร" เด็กส่วนใหญ่ในห้องตอบว่า "7 บาท" แล้วคุณล่ะคิดว่าได้เงินทอนเท่าไหร่ ?
.
.
.
.
.
   ถ้าคุณตอบว่าได้เงินทอน 7 บาทเหมือนเด็กส่วนใหญ่ แน่นอน คุณเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่เหมือนกับคนทั่วๆไป แต่เชื่อมั้ยครับว่ามีเด็ก 2 คนที่ตอบไม่เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ คนหนึ่งตอบว่าได้เงินทอน "2 บาท" และอีกคนหนึ่งตอบว่า "ไม่ต้องทอน" ทำไมคำตอบถึงเป็นเช่นนั้น ?

   คุณครู ถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน 2 บาท คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขาสำหรับเงิน 10 บาท คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอนมา 2 บาท....คำตอบนี้ คุณมีความเห็นอย่างไร ?

   จากนั้น คุณครูถามเด็กคนที่สองว่าแล้วของเธอทำไมไม่เหลือเงินทอนล่ะ คำตอบก็คือ เด็กคนนี้คิดว่าเงิน 10 บาทสำหรับเขาก็คือเหรียญบาท 10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญพอดี เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา...คำตอบนี้ คุณมีความเห็นอย่างไร ?

   โชคดีครับที่ในสมัยนั้นคงยังไม่มีเหรียญ 2 บาท ไม่อย่างนั้นคงมีคำตอบเพิ่มมาอีกคำตอบนึงแน่นอน คือทอน 1 บาท ตามความคิดของเด็กคนนั้นคงคิดว่าเงิน 10 บาทสำหรับเขาคือ เหรียญ 2 บาท 5 อัน ซื้อของ 3 บาท ก็ให้เหรียญ 2 บาทไป 2 เหรียญ ได้เงินทอน 1 บาท...คำตอบนี้ คุณมีความเห็นอย่างไร ?

   ยังดีนะครับที่เป็นแค่การถาม-ตอบในห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้ถูกออกเป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง เด็กทั้ง 3 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบในข้อนี้ เพราะคำตอบของเขาผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่ เพียงเพราะในการสร้างโจทย์ที่ "เสมือนจริง" จินตนาการของครูอาจถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ "ตัวเลข" แต่สำหรับเด็กๆแล้ว จินตนาการของเขาไร้กรอบไ้ร้ขอบเขต เงิน 10 บาทของเขา จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า เหรียญสองบาทหรือเหรียญหนึ่งบาทแล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของเขา


   แต่โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โลกในห้องเรียนทุกคำถามส่วนใหญ่จะมีเพียง 1 คำตอบเท่านั้นที่ถูกต้อง แต่โลกของความเป็นจริงแล้ว ทุกคำถามบนโลกนี้อาจมีคำตอบที่ถูกต้องมากกว่า 1 คำตอบก็เป็นไปได้ ขอเพียงแต่เรา...

"อย่ารีบตัดสินความถูกหรือผิดของคนๆนั้น เพียงเพราะว่าคำำตอบของเขาไม่ตรงกับเรา"

"อย่าพยายามหยุดความคิดสร้างสรรค์ของคนๆนั้น ด้วยกรอบความคิดของเราเอง"

   ลองคิดดูว่าถ้าหากเราพยายามจับ “ความคิด” ของผู้อื่นมาใส่กรอบความคิดของตัวเรา ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของเขาคนนั้น รูปร่างหน้าตาของมันคงบูดเบี้ยวไม่เป็นรูปทรง ในบางครั้ง การปล่อยให้ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการมันลอยล่องไปซะบ้าง  เราคงมีอิสระทางความคิดกันมากกว่านี้  เพราะจริงๆแล้วความคิดของแต่ละคนไม่มีทางเหมือนกัน 100 % แน่นอน เพราะเราแต่ละคนล้วนมี “ความคิด” เป็นของตัวเอง  และที่แย่กว่านั้นก็คือเรามักจะคิดว่าความคิดของเราถูกต้องกว่าของคนอื่นเสมอ  แต่ในความเป็นจริงคงไม่มีความคิดของใครถูกต้องกว่าใคร หากเพียงแต่เรารู้จักเปิดใจยอมรับใน "ความคิด" ของผู้อื่นบ้าง ชีวิตคงจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ  นั่นเพราะความคิดที่ดีที่สุดถูกต้องที่สุด อาจไม่ใช่เพียงแค่ความคิดของเราเพียงคนเดียว  หากแต่อาจหมายถึงการนำหลายๆ"ความคิด"หลายๆ"จินตนาการ" มาหลอมรวมกันแล้วเลือกคั้นเอาส่วนที่ดีที่สุด ออกมาเป็นคำตอบที่ทุกคนยอมรับได้ จงอย่าทำให้ความคิดของตัวเองอยู่แค่ในกรอบสี่เหลี่ยม รู้จักเจาะประตู เพิ่มหน้าต่าง  เพื่อเปิดรับสิ่งรอบข้างเข้ามาเป็นพันธมิตรทางความคิดของเราบ้างก็ดีเหมือนกัน... 


หวังว่าอ่านจนจบเรื่องแล้ว คงช่วยให้เราเปิดใจและมองโลกได้กว้างกว่าที่เคยนะครับ
ขอคุณภาพประกอบจาก http://gimyong.com

10 ข้ออ้างยอดฮิตของคนคิดเล็ก





   คนที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในแวดวงขายตรงย่อมคุ้นชินกับคำกล่าวที่ว่า คนเราคิดอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น”“เมื่อเราเปลี่ยนความคิด ชีวิตเราก็จะเปลี่ยน” “เปลี่ยนความคิดของเราก่อนแล้วเราจะเปลี่ยนโลกทั้งโลกได้คำกล่าวของ Dr.David J.Schwartzผู้เขียนหนังสือขายดี The Magic of Thinking Big ที่ว่า ขนาดของการกระทำขึ้นอยู่กับขนาดของการคิดและ คำกล่าวของจักรพรรดิโรมันผู้ยิ่งใหญ่มาร์คัส ออเรลิอุส ที่ว่า ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่จะเป็นคนคิดเล็ก”                                              

   คำกล่าวข้างต้น แม้เพียงคำกล่าวเดียว สามารถทำให้บางคนเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ ในขณะที่อีกหลายๆ คน หรือแทบจะเป็นส่วนใหญ่ คำกล่าวเหล่านี้ ไม่มีผลใดๆต่อชีวิตเลย นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมจึงมีคนราว 20% เท่านั้น ที่พอจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จ

   คนอีก 80% หรืออาจจะกว่านั้น มีข้ออ้างมากมายในชีวิต ที่จะบอกตนเองและผู้คนว่าเขาไม่อาจจะคิดใหญ่ได้ด้วยข้อจำกัดนานาประการ ต่อไปนี้คือบางส่วนของข้ออ้างยอดฮิตของคนคิดเล็ก  ซึ่งได้มีการประมวลกันไว้

                   1. อ้างเรื่องอายุ

                   2. อ้างเรื่องการศึกษา

                   3. อ้างเรื่องสติปัญญา

                   4. อ้างเรื่องสุขภาพ

                   5. อ้างเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจ

                   6. อ้างเรื่องภาระครอบครัว

                   7. อ้างเรื่องโชควาสนา

                   8. อ้างเรื่องปมด้อยในอดีต

                   9. อ้างเรื่องพรสวรรค์

                  10. อ้างว่ายาก/เป็นไปไม่ได้

เราลองมาขยายความกันสักเล็กน้อยในแต่ละข้ออ้าง

อ้างเรื่องอายุ คือถ้าไม่อ้างว่าอายุมากแล้ว แก่เกินไปแล้วที่จะมาเสี่ยงคิดโน่นคิดนี่ หรือทำโน่นทำนี่ หรือบางทีก็อาจจะอ้างอีกว่าอายุยังน้อย ยังอ่อนด้อยประสบการณ์ ผมก็เลยงงๆว่าแล้วต้องอายุเท่าไหร่กัน จึงจะถือว่าเป็นวัยเจริญพันธุ์สำหรับการคิดใหญ่?

อ้างเรื่องการศึกษา คือถ้าไม่อ้างว่าเรียนมาน้อย สู้ใครเขาไม่ได้ คิดไม่ทันชาวบ้านเขา ข้อมูลน้อย ก็มักจะอ้างว่า อุตส่าห์เรียนมาเสียสูงถึงระดับปริญญาโท ปริญญาเอก แล้วให้มาคิดเรื่องแค่เนี้ย เสียเวล่ำเวลาที่จะไปค้นคว้าวิจัยเรื่องอื่นๆหมด  บางคนปฏิเสธที่จะมาทำงานขายตรงเพราะอ้างว่าไม่สมศักดิ์ศรีคนเป็นด๊อกเตอร์ จากนั้นเขาก็กลับไปขมักเขม้นทำงานวิจัยเรื่องวัฏฏะจักรแห่งความยากจนของตน เองต่อไป!

อ้างเรื่องสติปัญญา หลายคนคิดว่าตนเองไม่ฉลาดพอที่ไปคิดอะไรที่มันใหญ่โต บางคนดูถูกตัวเองว่าไอคิวก็เตี้ย ไอเดียก็ต่ำ จะไปทำยาหยอดตาอะไรได้ คิดอะไรที่มันซับซ้อนไม่เป็น คิดมากแล้วปวดหัว แล้วเวลาปวดหัวทีไรก็ชอบยืมเงินเพื่อนเรื่อยเลย เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดอะไรดีกว่า

อ้างเรื่องสุขภาพ สุขภาพกายก็ไม่ดี สุขภาพจิตก็แย่ เดี๋ยวสามวันดี เดี๋ยวยี่สิบสี่วันไข้ เหลืออีกสองสามวันก็ต้องไปนอนพักฟื้นอีก แค่คิดว่าพรุ่งนี้ยังจะมีชีวิตรอดต่อไปอีกวันนึงไม๊ ก็จะแย่แล้ว ยังจะมากะเกณฑ์ให้คิดอะไรใหญ่ๆ โตๆ กันอีกล่ะ ที่พอจะคิดได้ตอนนี้ก็คือคิดอยู่แค่สองเรื่องเท่านั้น คือจะจองห้องไอซียูดี หรือว่าจะจองวัดจองเมรุไปเลยจะดีกว่า

อ้างเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจ คืออ้างว่ายากจนเกินกว่าจะไปคิดอะไรได้ ไม่มีต้นทุนอะไรติดตัวมาเลย พ่อแม่ตายไปก็ไม่ได้ทิ้งสมบัติพัสถานอะไรไว้ให้เป็นหลังพิงเชือกบ้างเลย หุ้นเหิ้นอะไรก็ไม่มีมาซุกไว้ให้ลูกๆบ้าง ทิ้งไว้แต่หนี้สิน ซุกไว้แต่ภาระ เออ ถ้ามีสมบัติเก่ามากหน่อยก็จะได้ไม่ต้องมากังวลอะไร จะได้เอาเวลาไปคิดใหญ่ให้มันมันส์ทะลุฟ้า บ้าทะลุดินไปเลย

อ้างเรื่องภาระครอบครัว คืออ้างว่าไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย มีทั้งลูกกวนตัว มีทั้งผัวกวนตีน ภาระครอบครัวหนักขนาดนี้ แค่ประคองตัวให้พอหายใจกันไปได้วันๆหนึ่งก็จะแย่แล้ว จะให้เสี่ยงชีวิตไปคิดใหญ่คิดโตบ้าบอคอแตกอะไรกันอีก เออ ถ้าเป็นคนโสด ไม่มีภาระครอบครัวก็ไปอย่าง พ่อจะลุยน้ำลุยไฟ บุกถ้ำเสือ เหยียบเขามังกรให้ดู

อ้างเรื่องโชควาสนา อ้างว่าคิดไปก็เท่านั้น คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต! แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนามันแข่งกันไม่ได้หรอก  ฉัน มันเป็นคนที่ไม่มีโชคทางนี้ ส่วนโชคทางอื่นก็ดันเป็นโชคของคนอื่นเขาหมด เทพีแห่งโชคไม่เคยยืนอยู่ข้างฉัน สวรรค์ไม่เคยมีตา และถึงแม้จะมีตาก็หามีแววไม่!

อ้างเรื่องปมด้อยในอดีต หลายคนเอาเรื่องในอดีตมาทำลายเรื่องในปัจจุบัน แล้วก็เอาไปบั่นทอนเรื่องในอนาคตด้วย คนอย่างฉันทำอะไรก็ล้มเหลวหมด ใช่สิฉันมันคนบ้านแตกสาแหรกขาด พ่อแม่หย่ากันตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด คนอย่างฉัน เมียยังทิ้ง ฯลฯ

อ้างเรื่องพรสวรรค์ อ้างว่าไม่มีพรสวรรค์ทางนี้ ส่วนทางอื่นๆก็มีแต่พรนรก! เห็น คนอื่นเขาทำอะไรได้ดี ก็เหมาเอาว่าเป็นเพราะเขามีพรสวรรค์ หาข้ออ้าง หาข้อแก้ตัวเสียจนไม่เคยไปดูเลยว่าคนที่เขาประสบความสำเร็จนั้น พวกเขาล้วนใช้พรแสวงกันทั้งสิ้น

อ้างว่ายาก อ้างว่าเป็นไปไม่ได้ ในบรรดาข้ออ้างทั้งหลายที่ได้กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นนั้น ก็เห็นจะมีข้อนี้แหละที่พอฟังขึ้น ใช่สิครับ การคิดอะไรใหม่ๆ และคิดอะไรใหญ่ๆ มันก็ต้องกล้าคิดในเรื่องที่มันยากๆ ในเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้ แน่นอนอยู่แล้ว เพราะไอ้เรื่องที่มันง่ายๆ เรื่องที่มันเป็นไปได้ มันก็มีคนคิดกันไปหมดสิ้นแล้ว ที่เหลืออยู่ในขณะนี้ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องยากและเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งสิ้น ปัญหาก็คือเรากล้าที่จะคิดหรือเปล่าล่ะ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถึงได้กล่าวว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ จินตนาการก็คือการกล้าคิด กล้าฝัน ในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้านั่นเอง

  จงจำไว้ว่า ข้อจำกัดเพียงประการเดียวที่ทำให้เราดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้ เก่งขึ้นไม่ได้ ก็คือ ความคิดที่ว่าเราทำไม่ได้ เท่านั้นเอง ...

( เครดิต อาจารย์วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ อ้างอิงจาก ajarnvason.com )