หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

“เบื่อ”




ในชีวิตมนุษย์เงินเดือนหรือเงินครึ่งเดือนทั้งหลาย ผมเชื่อแน่ๆว่าเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ คงเคยเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลายไม่ว่าจะด้วยตนเองหรือว่าได้รับฟังมาจากเพื่อนร่วมงานก็ตามที เป็นต้นว่า "เบื่องาน" "เบื่อเพื่อนร่วมงาน" "เบื่อเจ้านาย" ฯล เบื่อๆไปเสียทุกอย่าง มันก็แน่อยู่ดอกครับ เพราะการทำอะไรซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลานานๆ อาการแบบนี้ก็ต้องมีบ้างไม่มากก็น้อยแหละน่า
แต่ผมมีวิธีแก้ไขแบบไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายเท่าไรนักมาให้เพื่อนๆลองพิจารณากันดูครับ คำว่า “เบื่อ” จะหายไปจากชีวิตคุณ ถ้าเพื่อนๆมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายสามารถปฏิบัติตามกฏทั้ง 10 ข้อดังต่อไปนี้ รับรองว่าชีวิตการทำงานของคุณจะมีความสุขขึ้นอีกโขเลยทีเดียว

1. “ทิ้ง” ที่ทำงานคุณต้องทิ้งปัญหาส่วนตัวไว้ที่บ้านแล้วสนุกกับงานตรงหน้า และก็เช่นกัน ที่บ้านคุณก็ต้องทิ้งเรื่องงานไว้ที่ออฟฟิศแล้วมีความสุขกับครอบครัวอย่างเต็มที่เวลาอยู่ที่บ้านเช่นกัน

2.  “สร้าง” สร้างพื้นที่ผ่อนคลายส่วนตัว  อาจจะเริ่มง่ายๆ ด้วยการจัดโต๊ะทำงานใหม่ให้มองแล้วรู้สึกผ่อนคลายที่สุด ในเมื่อเราต้องใช้เวลาอยู่ในที่ทำงานอย่างน้อยตั้ง 8 ชั่วโมงต่อวันเชียวนะ

3.  “ขาด” ที่ขาดไม่ได้คือเพื่อน ก็พวกเพื่อนๆในที่ทำงานที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายกันนั่นแหละ หาเวลาระบายความรู้สึกแลกเปลี่ยนกัน อาจจะมีปาร์ตี้เล็กๆหลังเลิกงาน จะช่วยลดอาการเครียดได้ดีทีเดียว

4.  “กิน” กินดีสุขภาพดี กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่มากพอ พักผ่อนให้เพียวพอ เมื่อสุขภาพดี ความคิดดีๆที่สร้างสรรค์ก็จะตามมาเอง

5. “จัด” จัดระเบียบการทำงานเสียใหม่ เรียงลำดับความสำคัญ และจัดสรรเวลาในการทำงานให้ดี อย่าให้เกิดภาวะงานล้นมือ หรือสะสมเสียจนก่อให้เกิดความเครียดและเบื่องานในที่สุด

6. “เคลื่อนไหว” พยายามเคลื่อนไหวไปมาเสียบ้าง เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เลือดลมจะได้ไปเลี้ยงสมอง โดยเฉพาะคนที่ต้องอยู่หน้าจอคอมพ์ทั้งวัน ระวังโรคออฟฟิศซินโดรมถามหา 

7. “อย่า” อย่าพยายามเปลี่ยนเพื่อนร่วมงาน จงจำไว้ว่าคุณไม่สามารถเปลี่ยนคนอื่นได้ แต่คุณสามารถเปลี่ยนมุมมองและวิธีตอบสนองที่มีต่อพวกเขาได้ เพราะฉะนั้นปล่อยวางซะ

8. “ให้” ให้รางวัลตัวเองบ้าง  เมื่อตั้งเป้าว่าต้องทำอะไรบางอย่างแล้วทำได้สำเร็จ ลองเติมความสุขให้ชีวิตด้วยการดูหนัง ช้อปปิ้ง หรืออะไรก็ตามที่คุณชอบถือเป็นการให้รางวัลตัวเองก็ดีนะ

9. “มอง” มองโลกแง่บวก ทกๆสิ่งทุกๆอย่างล้วนอยู่ที่มุมมองทั้งสิ้น เช่น พยายามบอกกับตัวเองว่า “วันนี้ฉันจะตั้งใจทำงานที่ฉันรัก” นั่นย่อมเป็นการสร้างกำลังใจได้ดีกว่าการคิดว่า “ทุกๆวันนี้มีแต่งานเดิมๆ”

10. “กล่าว” กล่าวคำทักทายกันในตอนเช้า ลองกล่าวทักทายทุกคนในออฟฟิศด้วยรอยยิ้ม แล้วรับคำทักทายพร้อมรอยยิ้มกลับมาเช่นกัน แล้วคุณจะพบว่าความสุขเกิดขึ้นได้ง่ายจะตายไป 

เป็นอย่างไรบ้าง 10 ข้อง่ายๆ ไม่ยากจนเกินไปที่ลองทำตามดูใช่มั้ยครับ แม้ว่าไม่สามารถจะทำได้ครบทั้ง 10 ข้อในคราวเดียว แต่เราอาจจะลองเริ่มต้นทำในข้อที่ง่ายๆเช่น การกล่าวทักทายเพื่อนร่วมงาน การเคลื่อนไหวร่างกาย การกินอาหาร เป็นต้น เพราะเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นกิจวัตรในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว พอเราลองปฏิบัติในข้อง่ายๆได้แล้ว ค่อยเริ่มทำในข้อที่ยากขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่นานเราก็จะทำได้ครบทุกข้อโดยไม่รู้ตัว ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายได้พบกับหนทางแห่งความสุขในแบบง่ายๆ  และหายจากอาการ "เบื่อ" โดยไวด้วยกันทุกคนครับ
       
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http:// th.jobsdb.com
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://pantip.com

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

ตามรอยไฮโซฯ@มิโมซ่า

สวัสดีครับ เพื่อนๆนักอ่านทุกๆท่านหลังจากเมื่อคราวที่แล้ว ผมพาเพื่อนๆไปหาของกินขยายกระเพาะกันที่ "ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา"มาแล้ว วันหยุดอาทิตย์นี้ เรามาชิลกันต่อครับที่สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิป อีกแห่งหนึ่งของเมืองพัทยา เพิ่งเปิดทำการได้ไม่นานเมื่อวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ 2556 นี้เอง สถานที่ที่ว่านั้นก็คือ"มิโมซ่า" (Mimosa) เมืองแห่งความรักครับ สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่สไตล์เมืองนอก ซึ่งจำลองมาจาก COLMAR หมู่บ้านในเมือง Alsace ของฝรั่งเศส เป็นเมืองเก่าเล็กๆ สีสันสวยงามสดใส ก็เลยยกมาตั้งไว้เป็นแหล่งเที่ยวพัทยาซะเลย "มิโมซ่า พัทยา" ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงแรมแอมบาสเดอร์ นาจอมเทียน ติดริมถนนสุขุมวิท จังหวัดชลบุรี (ที่เห็นอยู่ด้านตรงข้ามในภาพนั่นแหละครับ) ไม่ต้องกลัวหลงหาง่ายมากๆ มาถึงแล้วก่อนอื่นหาที่จอดรถกันก่อนครับ เลี้ยวซ้ายเข้าไปที่จอดรถด้านหลังค่อนข้างกว้างขวาง สามารถจอดได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัวและรถบัสโดยสารขนาดใหญ่สำหรับผู้ที่มาเป็นหมู่คณะ แต่ว่าถ้ามาก่อนก็จะดีกว่า ยิ่งมาช้าก็ยิ่งเดินไกลครับ วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนพอสมควรแต่ท้องฟ้าปลอดโปร่งดีทีเดียว หลังจากหาที่จอดรถเรียบร้อยเตรียมตัวเข้าสู่ด้านในกันเลยครับ และนี่เป็นอัตราค่าเข้าชมครับ (จะเริ่มเก็บค่าเข้าชมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2556)
- ชาวไทย /ชาวต่างชาติที่พำนักในไทย หรือมีคู่สมรสกับชาวไทย ราคาบัตรต่อท่าน 50 บาท
- เด็กสูงน้อยกว่า 90 เซ็นติเมตร ฟรี
- เด็กสูงน้อยกว่า 120 เซ็นติเมตร ครึ่งราคา
- นักเรียน นักศึกษา ในเครื่องแบบ และนอกเครื่องแบบ ฟรี (แสดงบัตร)
- ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ฟรี
- ผู้พิการทุพพลภาพ ทุกกรณี ฟรี
และนี่ก็คือข้อมูลทั่วไปของ Mimosa Pattaya ครับ
- เปิดให้บริการ : 11.00 – 23.00 น. ทุกวัน สามารถพาสุนัขเข้าไปได้
- โชว์การแสดง : 19.00 น, 20.00 น. ทุกวัน
- ถ่ายรูป Prewedding : ยังไม่เปิดให้บริการ แต่คาดว่าจะมีในอนาคต


หลังจากซื้อบัตรผ่านประตูเข้ามาเรียบร้อย พอเดินเข้ามาด้านใน ไม่ว่าจะเหลียวไปทางด้านซ้าย ขวาหรือด้านหน้า็ก็ดี เราก็จะพบกับสิ่งก่อสร้างสีสันสดใส ซึ่งถูกจัดให้เป็นร้านค้า ร้านอาหารชื่อดังๆ ร้านขายขนมของกินเล่นและร้านขายของที่ระลึกเรียงรายอยู่บริเวณสองข้างทางเดิน ก่อนอื่นเรามาดูข้อมุลคร่าวๆของ มิโมซ่า กันก่อนครับ  มิโมซ่ามีพื้นที่ 38.5 ไร่ ใช้งบประมาณการก่อสร้างกว่า 1,000 ล้านบาท สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ไม่ตำกว่า 10,000 คน/วัน บริหารงานโดยคุณจิรโชติ แก้วเสถียร ในขั้นตอนการออกแบบนั้นได้มีทีมงานและผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมท้องถิ่นชาวฝรั่งเศส เดินทางไปที่เมือง Colmar ประเทศฝรั่งเศสเพื่อเก็บรายละเอียดก่อนที่จะลงมือสร้าง Mimosa เพื่อให้เสมือนจริงมากที่สุด คำว่า Mimosa (มิโมซา) เป็นภาษาอิตาลี แปลว่าความรัก ความสุข สนุกสนาน


ตัวตลกโบโซ่ แต่งกายและแต่งหน้าด้วยสีสันฉูดฉาด เจ้าชายและเจ้าหญิงแต่งตัวสวยงามเหมือนอยู่ในเทพนิยายเดินไปเดินมาอยู่ในระหว่างทางเดิน เพื่อรอให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก แต่ดูท่าแล้วโบโซ่หนุ่มสองคนที่เห็นในภาพจะเป็นที่ชื่นชมของเด็กๆมากเดียว เพราะมีคิวต่อแถวรอถ่ายรูปยาวเหยียด


ผมเข้ามาจากด้านข้าง แต่ว่าอยากได้รูปป้าย"มิโมซ่า"ด้านหน้าก็เลยต้องเดินมาออกประตูด้านหน้าอีกที อ้อ!เก็บหางบัตรตอนเข้ามาไว้ให้ดีครับ มันมีประโยชน์ตอนเข้าๆออกๆนี่แหละ มาถึงแล้วนี่ไง "มิโมซ่า" ตัวเป็นๆ อากาศร้อนได้ใจก็เลยได้ป้ายแบบโล่งอย่างที่ใจอยากพอดี 


หลังจากถ่ายรูปจนหนำใจ ก็ต้องย้อนกลับเข้าไปใหม่แต่คนละทาง หางบัตรเหมือนเดิมครับจะเข้าจะออกกี่เที่ยวก็ได้ เข้ามาด้านในส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านค้า ที่เห็นเป็นร้านขายเสื้อผ้าหน้าร้านก็มีตุ๊กตาทองเหลืองขนาดเท่าจริงตั้งไว้ให้ถ่ายรูป นี่ถ้าอากาศเย็นกว่านี้หน่อยนะจะดีมากทีเดียว


ม้าทองเหลืองครับ ยืนถ่ายใกล้ๆได้ แต่นั่งถ่ายไม่ได้เพราะม้ายืนตากแดดตอนเที่ยงๆมานาน บนอานม้ากำลังร้อนได้ที่ สงสัยว่ามจะมาผิดเวลา เดี๋ยวคราวหน้ามารีวิวตอนเย็นๆบ้างดีกว่า


เจ้าตัวนี้กวางแน่ๆครับแต่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร ยืนเด่นเป็นสง่ารอต้อนรับผู้มาเยือน อยู่ด้านหน้าอาคารสองชั้นก่อนถึงลานน้ำพุดนตรี อาคารด้านล่างส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารส่วนด้านบนก็เป็นร้านขายของที่ระลึกและเสื้อผ้า ของเด็กเล่น ฯล


ประติมากรรมสวยๆ ถูกจัดวางไว้ทั่วบริเวณ เพื่อให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันให้จุใจ แต่ปัญหาก็คือมันเป็นสีขาวนี่แหละครับ เจอแดดตอนเที่ยงๆเลยดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่


สองตัวนี้คงจะเป็นหงส์หรืออะไรก็ไม่แน่ใจครับ ตัวโตพอสมควร ผมแอบถ่ายมาจากด้านข้างเพราะมีนักท่องเที่ยวถ่ายรูปอยู่ด้านหน้า ผมคิดว่าถ้าเราไปยืนถ่ายรูปหน้าตรงนะ มันคงจะเป็นรูปหัวใจพอดี


กังหันลมจำลอง ด้านหน้าตัวอาคารสีเหลืองแดงตัดกับท้องฟ้าสีสดใส รวมถึงดอกไม้สวยๆด้านล่าง จึงเป็นอีกมุมหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจถ่ายรูปมากพอสมควร 


ประติมากรรมนี้ตั้งอยู่บริเวณทางเดินไปห้องน้ำและศูนย์อาหาร จริงๆแล้วที่นี่มีประติมากรรมสวยๆแบบนี้ตั้งอยู่ทั่วบริเวณครับ น่าเสียดายที่ผมมาถึงตอนใกล้เที่ยงแล้ว แสงมันเลยแข็งๆแถมมีเงามาก ก็เลยได้รูปถ่ายไม่ค่อยถูกใจนัก


นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีผู้สนใจถ่ายรูปหนาแน่น วิธีการโดยการไปยืนแอบด้านหลังแล้วโผล่หน้าออกมาทางรูปหัวใจนั่นแหละ แต่ผมไม่กล้าถ่าย บ่องตงอายครับ 555 ส่วนด้านหลังที่เห็นเป็นส่วนที่ำกำลังก่อสร้างเพิ่มเติม ดูจากสภาพการก่อสร้างแล้วน่าจะเป็นโซนสวนน้ำอะไรประมาณนั้นครับ


เดินมานาน ร้อนก็ร้อนเลยเที่ยงมานานพอสมควร พักทานอาหารกันก่อนดีกว่า ทีแรกคิดว่าจะตามรอยไฮโซให้ได้ทุกกระบวนท่า แต่ว่าวันนี้มางบน้อยครับเลยขอเป็นแบบเบาๆละกัน ศูนย์อาหารของที่นี่ก็คงพอใช้ได้ ดูแล้วก็สะอาดดีและราคาก็พอรับได้


จานแรกเรียกน้ำย่อยกันก่อน ยำวุ้นเส้น ดูหน้าตาหน้ากินพอตักเข้าปากรสชาดก็ใช้ได้นะ เปรี้ยวหวานเผ็ดกลมกล่อมกำลังดี (หรือว่าหิวหว่า)


จานด่วนตามมาติดๆแบบสิ้นคิดนิดหน่อยแต่ก็อร่อยดีนะ กะเพราไก่ไข่ไม่มี ผัดเผ็ดๆเสร็จใหม่ๆกับข้าวสวยร้อนๆ เติมน้ำปลาพริกนิดหน่อย อร่อยครบสูตร


ท้ายที่สุดก็ต้องมีของหวานด้วยจะได้ครบองค์ประขุม ข้าวเหนียวมะม่วงครับ ข้าวเหนียวนุ่มๆหอมกลิ่นใบเตยคู่กับมะม่วงน้ำดอกไม้รสชาดหวานหอมราดด้วยน้ำกะทิสดรสออกเค็มนิดหน่อย อร่อยครบเครื่องอีกเช่นกัน 


อิ่มอร่อยถ้วนหน้าในราคาสบายกระเป๋า เบาตัวแต่หนักท้องแล้ว ไปย่อยอาหารกันต่อดีกว่า ออกจากด้านหน้าศูนย์อาหารมานิดหน่อย เจออีกแล้วครับรูปปั้นสวยๆชื่ออะไรใครรู้ช่วยบอกที แต่ว่ามีหลายคนแอบไปจับไข่ถ่ายรูป 555


หอนาฬิกาปองดูเช่ร์สีสันสดใสตัดกับท้องฟ้าสีสวย รู้สึกว่าจะปรับตั้งเวลาตามฝรั่งเศสมั้งครับ เพราะดูเวลาแล้วมันเพิ่งเก้าโมงเองหรือว่านาฬิกาเสียก็ไม่รู้ 


ประติมากรรมที่ตั้งอยู่ด้านล่างของหอนาฬิกา ที่บรรดาหนุ่มๆให้ความสนใจถ่ายรูปเป็นพิเศษ สังเกตุดูตรงหน้าอกสิครับ เงาแว๊บเชียว 555


ถัดมาอีกหน่อยดูลักษณะคล้ายๆคลองครับ สองข้างมีต้นไม้สีเขียวดูแล้วสดชื่นสบายตาแต่รู้สึกว่าน้ำในคลองมันจะออกเขียวๆหน่อยแล้วคงเป็นเพราะอากาศที่ค่อนข้างร้อนนั่นเอง  


พอเดินมาอีกหน่อยถึงได้เห็นเจ้าสองตัวนี่เอง เจ้าของคลองน้ำที่ว่า หงส์ขาว กำลังว่ายน้ำเล่นอย่างสบายใจเลยทีเดียว ที่เห็นอยู่ไกลๆนั่นเป็นบรรดาหงส์น้อยๆและหงส์ดำอีกตัวหนึ่งกำลังอาบแดดสบายใจเฉิบเช่นเดียวกัน 


มองย้อนกลับไปทางหอนาฬิกา ทั้งส่วนด้านล่างและด้านบนล้วนแต่เป็นร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ด้านบนบางส่วนดูแล้วคล้ายๆว่าน่าจะเหมือนส่วนพักอาศัย ด้านล่างเป็นแปลงดอกไม้สวย ส่วนใหญ่ก็เป็นดอกกุหลาบครับ ทั้งตูมทั้งบานเต็มไปหมด


พิซซ่า เรสเตอรองบาร์ ถัดจากบ้านพักของครอบครัวหงส์ สีสันสดใสกับบรรยากาศสบายๆ แต่ผมว่าดูแล้วกว่าจะนั่งชิลได้น่าจะเป็นช่วงบ่ายถึงเย็นโน่นแหละเหมาะที่สุด


เวทีน้ำพุดนตรี มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ในตอนกลางคืนเวลา 19.00 น และ 20.00 น. ของทุกวัน จะมีการแสดงให้ชมฟรี โดยจะสลับหมุนเวียนโชว์ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน ส่วนด้านหลังก็เป็นศูนย์รวมความบันเทิงของที่นี่ครับ 


ม้านั่งสีสันสดใสถูกจัดวางเรียงรายไว้รอบๆลานน้ำพุ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักผ่อน หรือจะหาซื้ออะไรมานั่งทานสบายๆระหว่างรอชมการแสดง


ส่วนของอาคารด้านบน ด้านหน้าของลานน้ำพุดนตรี ถูกจัดเป็นทางเดินให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้รอบๆ สีสันสดใสตัดกับท้องฟ้าลายเกล็ดปลาของวันนี้สวยงามได้ใจ


อีกมุมหนึ่งเมื่อมองจากทางเดินด้านบนลงไปยังลานน้ำพุดนตรีด้านล่าง บริเวณม้านั่งเริ่มมีนักท่องเที่ยวบางส่วนเข้ามานั่งจับจองที่นั่งกันหนาตาขึ้น คิดว่าคงเป็นเพราะอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายขึ้นบ้างแล้ว


อีกมุมครับกับวันหยุดสบายๆ มาถึงตอนนี้บ่ายแก่ๆแล้วด้านบนลมพัดเย็นสบาย อากาศเริ่มเย็นลงนิดหน่อย ตัวอาคารสีสดตัดกับท้องฟ้าสีฟ้ามองแล้วสบายตาบอกไม่ถูก


วนไปวนมาสุดทางครบรอบแล้วครับวันนี้ เราใช้เวลาที่นี่กันมาพอสมควร เป็นอย่างไรบ้างครับเกือบทุกซอกทุกมุมที่ผมพามาเที่ยวชม น่าสนใจมั้ย ถ้าเพื่อนๆมีเวลาว่างๆ ในวันหยูดแม้เพียงแค่วันอาทิตย์วันเดียว ผมก็ขอเชิญชวนเลยแล้วกันครับ "มิโมซ่า พัทยา" ดินแดนแห่งความรัก แหล่งท่องเที่ยวสุดฮิปแห่งใหม่ใกล้ๆกรุงเทพฯ เดินทางไปกลับสบายๆ ค่าใช้จ่ายไม่สูง ท่องเที่ยวได้หลายรูปแบบตามใจ และที่สำคัญที่นี่ยังใหม่มากๆและในอนาคตหากส่วนเพิ่มเติมเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ มิโมซ่า พัทยา คงเป็นสถานที่อีกที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายคงไม่อาจมองข้ามได้แน่ๆ


ท้ายที่สุดนี้ผมก็ขอสรุปโดยรวมอีกทีแล้วกันครับ "มิโมซ่าพัทยา" เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ในย่านพัทยาซึ่งจำลองบรรยากาศเมือง Colmar ของประเทศฝรั่งเศส มีร้านค้าให้ชอปปิ้ง และร้านอาหารให้เลือกทานหลายร้าน มีมุมสวยๆมากมายให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป คล้ายๆกับปาลิโอเขาใหญ่หรือว่าเวเนเซียหัวหินประมาณนั้น "มิโมซ่าพัทยา" เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วคาดว่าน่าจะมีโรงภาพยนต์ สวนสนุกและโรงแรมแนวบูติคเพิ่มขึ้นมา ส่วนของที่ขายในมิโมซ่าส่วนใหญ่ดูๆแล้วก็เหมือนของทั่วๆไปซึ่งหาได้ตามตลาดธรรมดาๆ เช่นของแต่งบ้าน เสื้อผ้าแฟชั่น ขนมของกินและของฝาก ทั้งหมดยังไม่มีอะไรที่เป็นจุดขายเด่นๆ ส่วนของกินในศูนย์อาหารทั้งรสชาดและราคาพอรับได้ ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านครับทีติดตามกันมาจนจบตอน รีวิวหน้าจะที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ไว้เจอกันทริปหน้า ขอบคุณและสวัสดีครับ

ขอคุณข้อมูลประกอบบางส่วนจาก http://www.emagtravel.com

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กินเที่ยวใกล้บ้าน ตลาดน้ำ 4 ภาค

"ทะเลงาม ข้าวหลามอร่อย อ้อยหวาน จักสานดี ประเพณีวิ่งควาย" นั่นคือคำขวัญประจำจังหวัดชลบุรี บ้านผมเองครับ แหล่งท่องเที่ยวใกล้ๆกรุงเทพฯอีกแห่งหนึงที่น่าสนใจ ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลนักรวมถึงการเดินทางที่ค่อนข้างสะดวกสบาย และที่สำคัญคือ ชลบุรี ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รวมเอาการท่องเที่ยวประเภทต่างๆที่น่าสนใจเอาไว้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ทะเล น้ำตก และเกาะแก่งต่างๆ ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวด้วยโปรแกรม 1 วันสามารถท่องเที่ยวได้เกือบทุกประเภทเลยทีเดียว ถ้าเอ่ยชื่อ ชลบุรี ทุกๆท่านคงจะนึกถึง สายลมทะเลเย็นพัดพาเอาเกลียวคลื่นซัดสาดกับหาดทรายขาว ท้องทะเลสีครามตัดกับขอบฟ้าสีฟ้าสดในตอนกลางวัน และภาพของดวงอาทิตย์ยามอัสดงค่อยๆจมลงใต้ผิวน้ำทะเลสีทองส่องประกายระยิบระยับ ช่างเป็นอะไรที่น่าประทับใจและคงอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆคนเมื่อได้มาเยือน
แต่นอกจาก  ภูเขา ทะเล น้ำตกและเกาะต่างๆแล้ว สถานที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึงของชลบุรี ที่ได้ชื่อว่าถ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนก็เหมือนมาไม่ถึงชลบุรี แหล่งท่องเที่ยวที่ว่านั้นก็คือ พัทยา เมืองที่ไม่เคยหลับไหลอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยในจังหวัดชลบุรี ในช่วงกลางวันจะคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ส่วนในยามค่ำคืน พัทยา ก็จะเปลี่ยนเป็นอีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างจากภาคกลางวันโดยสิ้นเชิง แสง สี เสียง ผับ บาร์ ร้านค้า ผู้หญิง นักท่องเที่ยว ฯลฯ สวรรค์ของคนกลางคืนโดยแท้ เกริ่นมาซะยาว หลายๆท่านคิดว่าผมคงจะพาไปเที่ยวดูแสงสีของพัทยาในยามค่ำคืนเป็นแน่ แต่ปล่าวหรอกครับ คราวนี้ผมจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอีกแห่งหนึ่งของเมืองพัทยาก็ว่าได้ ซึ่งจริงๆแล้วก็มีอยู่มากมายหลายแห่งด้วยกัน แต่คราวนี้ผมขอนำเสนอที่นี่ก่อนครับ "ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา" ไม่ไกล้ไม่ไกลจากบ้านผมเท่าใดนัก ว่าแล้วก็ขอเชิญเพื่อนๆตามผมมาร่วมสัมผัสกับกลิ่นอายของวันวาน วิถีชิวิตแบบไทยๆสมัยก่อน ล่องเรือถวิลหาอดีตพร้อมรับความเย็นฉ่ำของสายน้ำ หรือจะเลือกเดินสัมผัสกับวิถีชีวิตย้อนยุคแบบชิลๆก็ตามแต่ใจ แต่สำหรับวันนี้ผมจะนำเสนอในแนวพระยาน้อยชมตลาดละกัน เอาแบบว่าเรามาเดินเล่นกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ สายตาก็สอดส่องมองหาของกินอร่อยๆมาขยายกระเพาะเป็นระยะๆ ชมไปกินไปอะไรประมาณนั้น ถ้าพร้อมแล้วเดินตามมาเลยครับ
นี่คือข้อมูลคร่าวๆของ "ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา"ครับ  ตลาดน้ำสี่ภาคตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท เลยพัทยาใต้ไปทางสัตหีบประมาณ 2.5 กิโลเมตร (ฝั่งซ้ายมือ) ตรงข้ามกับจูราสสิก การ์เด้น ก่อนถึงป้ายสุดเขตเมืองพัทยา ไปไม่ถูกอย่างไรก็สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 3870 6340 หรือทางเว็บไซต์ www.floating4market.com ครับ สร้างขึ้นบนพื้นที่กว่า 23 ไร่ แต่เดิมพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่ากกขนาดใหญ่ ต่อมามีการรื้อป่ากกออกเพื่อปรับปรุงพื้นที่ จึงรู้ว่าภายใต้ป่ากกที่รกรุงรังยังมีบึงธรรมชาติขนาดใหญ่อยู่ เจ้าของที่เลยเกิดไอเดียบรรเจิดเนรมิตรบึงแห่งนี้ให้กลายมาเป็น "ตลาดน้ำ" ให้ผู้คนได้สัมผัสความเป็นไทย ๆ จึงจำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไทยที่เรียบง่าย เพื่อให้ผู้คนได้เรียนรู้วิถีพอเพียงดั้งเดิมที่ผูกพันกับสายน้ำตั้งแต่อดีตสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการเรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีเสน่ห์ที่น่าหลงใหลใน 4 ภาค ของประเทศไทย ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้  อีกทั้งยังเล็งเห็นว่าควรจะนำเอาของดีของเด่นทั้ง 4 ภาค มารวมไว้ด้วยกัน จึงกลายมาเป็น"ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา" สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แหล่งรวมศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และสินค้าต่าง ๆ ทั้ง 4 ภาคของไทยเอามารวมไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว หลังจากจอดรถที่ด้านหลัง (ด้านหน้าก็มีที่จอดแต่น้อยมาก) ไม่เสียค่าจอดแต่มีบริการผ้าคลุมกระจกราคาก็แล้วแต่จะให้ เสร็จสรรพเรียบร้อยก็เข้าสู่ด้านในกันเลยครับ


บรรยากาศภายใน "ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา" ยามสายๆในขณะที่นักท่องเที่ยวยังไม่มากนัก ทำให้เลือกมุมถ่ายรูปที่ถูกใจได้พอสมควร บริเวณริมน้ำมีการจำลองบ้านเรือนไทยแบบโบราณของแต่ละภาคเรียงรายเอาไว้ตลอดสองข้างทาง เสมือนชุมชนการค้าริมน้ำในอดีตให้เราสามารถเดินชมได้เรื่อยๆ โดยจะมีทางเดินหรือสะพานเชื่อมต่อระหว่างชุมชนของกลุ่มภาคต่างๆ และในบริเวณที่เป็นบึงน้ำก็จะมีแม่ค้า พ่อขาย พายเรือไปตามแม่น้ำเพื่อเสนอขายสินค้า ซึ่งเราก็สามารถเรียกแม่ค้า พ่อค้า ที่พายเรือผ่านไปผ่านมาเพื่อซื้อหาสินค้าได้ ซึ่งมีทั้งของกินเล่นๆจนถึงกินกันแบบจริงๆจังๆ ของที่ระลึก แม้แต่ด้านบนบกยังมีร้านค้าตั้งอยู่มากมาย มีทั้งอาหารของคาวและของหวานให้เลือกชิมเลือกซื้อหา ราคาก็อาจจะสูงนิดนึงไม่ว่ากันตามมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีสินค้าหัตถกรรมหลากหลายที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาคให้เลือกซื้อด้วย โดยสินค้าทั้ง 4 ภาค จะแตกต่างกันออกไปตามวิถีชีวิตแต่ละภาค ภาคเหนือจะเป็นสินค้างานไม้แกะสลัก เครื่องเงิน ผ้าพื้นเมืองลวดลายงดงามวิจิตร ผ้าไหม และร่มกระดาษ สำหรับสินค้าภาคกลาง ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์หวาย เครื่องประดับ กระเป๋าสาน ภาคอีสานโดดเด่นในกลุ่มสินค้าผ้าไหมหมัดหมี่ ผ้าไหมแพรวา เทียนหอม หมอนอิง และภาคใต้สินค้าเลื่องชื่อ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ผ้าบาติก เรือไม้จำลอง เป็นต้น


สะพานแขวน จุดขายหนึ่งของที่นี่ครับ ใช้เดินข้ามจากส่วนตลาดบนบกมายังหอคอยกลางน้ำที่ใช้เป็นสถานที่โรยตัวด้วยรอกไปยังอีกด้านหนึ่งของตัวตลาด ทำจากแผ่นไม้ยึดด้วยลวดสลิง เวลาเดินไปให้ความรู้สึกยวบยาบน่าใจหาย สะพานนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจรอคิวถ่ายรูปกันเยอะเหมือนกันครับ


ไม่ได้แวะมาเป็นปี วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศแจ่มใสจนใกล้ๆร้อนเอาเลยทีเดียว สภาพโดยรวมยังคงสวยงามอยู่ เสียอย่างเดียวน้ำในสระสีไม่ค่อยสวยเท่าไหร่


ถ้ากลัวว่าเดินชมจะไม่ทั่วถึง ก็ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาเป็นนั่งเรือชม"ตลาดน้ำสี่ภาค" ดูบ้างก็ได้ครับ ที่นี่มีเรือพายไว้ให้บริการ จะพายเองหรือให้เจ้าหน้าที่คอยพายให้ก็ตามสะดวก สนนราคาเพียงแค่ลำละ 200 บาทต่อลำ นั่งได้ 3-4 ท่าน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที 



อากาศร้อนๆแบบนี้ เริ่มต้นด้วยกาแฟเย็นโบราณดับร้อนกันสักแก้วก่อนดีกว่า กาแฟเข้มๆขมๆผสมกับนมข้นหวานและน้ำตาลคนให้เข้ากัน ราดลงบนน้ำแข็งเกล็ดหวานเย็นชื่นใจดีชะมัด


ต่อด้วยขนมครกหวานๆ สูตรต้นตำรับโบราณเมืองชลฯ รสชาดหวานมัน กรอบนอกนุ่มใน ข้ออควรระวัง ทุกครั้งก่อนทาน ต้องมั่นใจว่าไม่ร้อนจนเกินไป มิฉะนั้นเพดานปากอาจจะสุกตามขนมครกได้


ถัดไป ของโปรดสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการบริโภคแมลงทอดเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะเป็น ตั๊กแตน จิ้งหรีด รถด่วน แมงป่อง แมงดา และอีกสารพันที่สรรหามาทอดได้ แมลงนานาชนิดทอดกรอบๆคลุกเคล้าด้วยซอสและพริกไทย หอม กรอบ อร่อย กินเล่นเพลินๆหมดเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว


ดอกไม้สวยๆแขวนประดับไว้ตามทางเดินเป็นระยะๆ เข้าใจว่าน่าจะอยู่ในตระกูลแพงพวย กำลังออกดอกสีสวย หลากสีสัน สวรรค์ของคนชอบดอกไม้ จะแอ๊คท่าถ่ายรูปหรือเพียงแค่ชมก็ตามแต่ใจ


พักชมดอกไม้พอหายเหนื่อยแล้ว ไปขยายกระเพาะกันต่อครับกับเมนูปิ้งย่างดูบ้างครับ เริ่มด้วยเมนูเด็ดรายการนี้ หมึกย่าง หมึกตัวเล็กๆพอดีคำย่างด้วยไฟอ่อนๆพอสุก ปรุงรสด้วยซอสและเนยจนหอม ทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเปรี้ยวหวานตัดด้วยรสเผ็ดเด็ดอย่าบอกใคร


ถัดไปอีกหน่อย ของอร่อยอีกรายการ หมึกไข่ย่าง คราวนี้ใช้หมึกไข่ตัวโตๆสั่งตรงจากทะเลแบบสดๆปรุงรสด้วยซอสและเนยเป็นหลักเช่นกัน จากนั้นบรรจงย่างด้วยไฟให้หอมชวนน้ำลายไหล สุกแล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำ ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด อร่อยจบแบบลงตัว


ต่อด้วยเมนูธรรมดาสามัญที่มีวางจำหน่ายทั่วไปตามร้านค้าชั้นนำ ลูกชิ้นปิ้งครับ ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นหมู ปลา ไก่ เนื้อหรือเอ็น แล้วแต่ความต้องการลูกค้า ปิ้งให้ไหม้นิดหน่อยกลิ่นหอมออกมายั่วน้ำลาย จัดใส่จานราดด้วยน้ำจิ้มรสเผ็ดหวาน ทานไปเป่าไปอร่อยได้ใจสุดๆ


ยังไม่หยุดแค่นั้นจัดไปอีกสักดอก เมนูนี้ไส้กรอกย่างครับ มีทั้งไส้กรอกหมูและเนื้อ รสชาดเปรี้ยวมาก เปรี้ยวน้อย ค่อยๆเลือกเอา แม่ค้าจะหยิบไปอุ่นให้ร้อนควันฉุย หั่นเป็นชิ้นพอคำ กินแกล้มกับแตงกวา กะหล่ำปลี มีพริกขี้หนูสดกะขิงดอง ลองแล้วจะติดใจ


ต่อไปเลยครับ หอยทอดประยุกต์ในถาดขนมครก หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวโตๆเนื้อแน่น คลุกเคล้ากับแป้งที่ปรุงรสมาแล้ว ค่อยๆหยอดลงในเบ้าขนมครก พอกลิ่นหอมลอยออกมาแสดงว่าสุกเหลืองจนได้ที่แล้ว ค่อยๆแคะขึ้นมาประกบกัน ใส่ถาดโฟมราดด้วยเครื่องปรุงรส พริกไทย พริกป่น น้ำตาล น้ำปลา น้ำส้มหรือว่าซอสพริกตามถนัด สูตรใครสูตรมัน


ชมไปชิมไปจนเริ่มแน่นท้องพักกันก่อนครับ ยืนกินลมชมดอกแพงพวยสีสวยหลากสี รอให้อาหารย่อยสักหน่อยก่อน จะหามุมถ่ายรูปบนสะพานข้ามน้ำระหว่างชุมชนของภาคต่างๆก็เหมาะดี


อิ่มท้องแล้วก็ต้องมองหาของฝากกันละครับทีนี้ นี่เลย ขนมปังหมีน้อย ขนมปังแป้งนุ่มๆปั้นปะติดปะต่อกันเป็นรูปตัวหมี เขียนถ้อยคำเท่ห์ๆแนวๆไว้บนลำตัว เหมาะสำหรับเป็นของฝากแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร


ส่วนที่มีค่อนข้างเยอะก็ร้านประเภทนี้ครับ ร้านขายของที่ระลึก ของเล่นเด็ก ของฝากกระจุกกระจิกต่างๆ รวมถึงร้านค้าประเภททุกอย่างยี่สิบ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นขนมอบกรอบ ขนมขบเคี้ยว ของว่างต่างๆ ข้อควรระวังคือร้านค้าเหล่านี้รับสินค้ามาจำนวนมากๆ แล้วนำมาแพคใหม่ให้ขายได้ในราคา 20 บาท มันก็เลยไม่มีวันหมดอายุให้ดู ไม่มีมาตรฐานรองรับ เวลาซื้อควรเลือกดูให้ดีครับ 


แบบนี้ดีกว่าครับ ขนมไทยชนิดต่างๆ ข้าวต้มมัด ข้าวต้มหาง ขนมตาล ขนมใส่ไส้ ฯล ใส่เรือแจวมาขาย มีให้เลือกมากมาย ไม่ต้องกังวลกับวันหมดอายุหรือไม่หมดอายุ แกะดูหรือว่าลองชิมดูก่อนเพื่อความมั่นใจ เลือกซื้อเป็นของฝากผู้หลักผู้ใหญ่เหมาะมาก หรือจะซื้อฝากตัวเองก็ไม่ว่ากัน


ผลไม้ตามฤดูกาลหรือนอกฤดูกาลก็มีจำหน่ายในเรือริมน้ำ ในภาพก็เป็นมะม่วงน้ำดอกไม้สุก รสชาดหวานและหอมสุดๆ ปอกแล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำกินกับข้าวเหนียวมูลน้ำกะทิเหมาะมาก หรือว่าจะเป็นกล้วยไข่ หวีใหญ่ๆลูกโตๆรสหวานรับประทานง่ายก็น่าสนใจเหมือนกัน


เป็นไงบ้างครับ เดินไปชิมไปอิ่มท้อง อร่อยปากเลือกซื้อของฝากถูกใจ ครบรอบพอดี จริงๆแล้วที่ ตลาดน้ำสี่ภาคแห่งนี้ ยังมีจุดที่น่าสนใจอยู่อีกมากมาย พูดไปก็ไม่เหมือนมาดูเอง ว่างๆวันหยุดไม่รู้จะไปไหน ยังไงก็ขอให้ "ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา" เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในนั้นของเพื่อนๆละกันครับ 
และที่แนะนำอยากให้เข้าไปชมก็คือ "พิพิธภัณฑ์หนึ่งสยาม" ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมงานฝีมือ งานหัตถกรรม งานแกะสลักต่างๆไว้มากมาย หรือถ้ายังมีเวลาเหลือ ก็ขอเชิญไปร่วมย้อนรำลึกและเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ของทั้ง 4 ภาค ไม่ว่าจะเป็น การทำนาปลูกข้าว การทอผ้าไหม เรียนรู้การทำขนมไทยโบราณ ที่แปลงเกษตรสาธิตและสมุนไพรไทยก็สามารถทำได้ครับ ขณะเดียวกัน ถ้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก็สามารถหาซื้อของกินเล่นๆมานั่งรอชมการแสดงต่าง ๆ ของแต่ละภาค รวมไปถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมและร่วมสนุกได้ตลอดทั้งวันเช่นกัน 


"ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา" เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 24.00 น. แต่สำหรับวันเสาร์และอาทิตย์ จะมีการแสดงของแต่ละภาควนไปตามซุ้มต่างๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมด้วย


ท้ายที่สุดนี้หลังจากเที่ยวชม "ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา" กันมาพอหอมปากหอมคอ เพื่อนๆคงจะพอนึกออกว่า อันที่จริงแล้วเมืองไทยของเรายังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยอยู่อีกมากมายรอให้เราไปสัมผัส นักท่องเที่ยวจากโซนอเมริกา ยุโรป ฯล หรือแม้แต่บ้านใกล้เรือนเคียงกัยเรา อย่างจีน ญี่ปุ่น ฯล ก็ยังอุตสา่ห์ดั้นด้นเพื่อจะมาเที่ยวเมืองไทย เพราะฉะนั้นเราเองในฐานะคนไทยก็อย่าหลงลืมแหล่งท่องเที่ยวและเอกลักษณ์ของตัวเราเอง ช่วยๆกันนะครับเพื่อเมืองไทยของเรา เศรฐกิจไทยของเรา สวัสดีครับ...

ขอบคุณข้อมูลประกอบเรื่องจาก http://travel.kapook.com