หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กินเที่ยวใกล้บ้าน ตลาดน้ำ 4 ภาค

"ทะเลงาม ข้าวหลามอร่อย อ้อยหวาน จักสานดี ประเพณีวิ่งควาย" นั่นคือคำขวัญประจำจังหวัดชลบุรี บ้านผมเองครับ แหล่งท่องเที่ยวใกล้ๆกรุงเทพฯอีกแห่งหนึงที่น่าสนใจ ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลนักรวมถึงการเดินทางที่ค่อนข้างสะดวกสบาย และที่สำคัญคือ ชลบุรี ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รวมเอาการท่องเที่ยวประเภทต่างๆที่น่าสนใจเอาไว้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ทะเล น้ำตก และเกาะแก่งต่างๆ ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวด้วยโปรแกรม 1 วันสามารถท่องเที่ยวได้เกือบทุกประเภทเลยทีเดียว ถ้าเอ่ยชื่อ ชลบุรี ทุกๆท่านคงจะนึกถึง สายลมทะเลเย็นพัดพาเอาเกลียวคลื่นซัดสาดกับหาดทรายขาว ท้องทะเลสีครามตัดกับขอบฟ้าสีฟ้าสดในตอนกลางวัน และภาพของดวงอาทิตย์ยามอัสดงค่อยๆจมลงใต้ผิวน้ำทะเลสีทองส่องประกายระยิบระยับ ช่างเป็นอะไรที่น่าประทับใจและคงอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆคนเมื่อได้มาเยือน
แต่นอกจาก  ภูเขา ทะเล น้ำตกและเกาะต่างๆแล้ว สถานที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึงของชลบุรี ที่ได้ชื่อว่าถ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนก็เหมือนมาไม่ถึงชลบุรี แหล่งท่องเที่ยวที่ว่านั้นก็คือ พัทยา เมืองที่ไม่เคยหลับไหลอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยในจังหวัดชลบุรี ในช่วงกลางวันจะคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ส่วนในยามค่ำคืน พัทยา ก็จะเปลี่ยนเป็นอีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างจากภาคกลางวันโดยสิ้นเชิง แสง สี เสียง ผับ บาร์ ร้านค้า ผู้หญิง นักท่องเที่ยว ฯลฯ สวรรค์ของคนกลางคืนโดยแท้ เกริ่นมาซะยาว หลายๆท่านคิดว่าผมคงจะพาไปเที่ยวดูแสงสีของพัทยาในยามค่ำคืนเป็นแน่ แต่ปล่าวหรอกครับ คราวนี้ผมจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอีกแห่งหนึ่งของเมืองพัทยาก็ว่าได้ ซึ่งจริงๆแล้วก็มีอยู่มากมายหลายแห่งด้วยกัน แต่คราวนี้ผมขอนำเสนอที่นี่ก่อนครับ "ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา" ไม่ไกล้ไม่ไกลจากบ้านผมเท่าใดนัก ว่าแล้วก็ขอเชิญเพื่อนๆตามผมมาร่วมสัมผัสกับกลิ่นอายของวันวาน วิถีชิวิตแบบไทยๆสมัยก่อน ล่องเรือถวิลหาอดีตพร้อมรับความเย็นฉ่ำของสายน้ำ หรือจะเลือกเดินสัมผัสกับวิถีชีวิตย้อนยุคแบบชิลๆก็ตามแต่ใจ แต่สำหรับวันนี้ผมจะนำเสนอในแนวพระยาน้อยชมตลาดละกัน เอาแบบว่าเรามาเดินเล่นกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ สายตาก็สอดส่องมองหาของกินอร่อยๆมาขยายกระเพาะเป็นระยะๆ ชมไปกินไปอะไรประมาณนั้น ถ้าพร้อมแล้วเดินตามมาเลยครับ
นี่คือข้อมูลคร่าวๆของ "ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา"ครับ  ตลาดน้ำสี่ภาคตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท เลยพัทยาใต้ไปทางสัตหีบประมาณ 2.5 กิโลเมตร (ฝั่งซ้ายมือ) ตรงข้ามกับจูราสสิก การ์เด้น ก่อนถึงป้ายสุดเขตเมืองพัทยา ไปไม่ถูกอย่างไรก็สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 3870 6340 หรือทางเว็บไซต์ www.floating4market.com ครับ สร้างขึ้นบนพื้นที่กว่า 23 ไร่ แต่เดิมพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่ากกขนาดใหญ่ ต่อมามีการรื้อป่ากกออกเพื่อปรับปรุงพื้นที่ จึงรู้ว่าภายใต้ป่ากกที่รกรุงรังยังมีบึงธรรมชาติขนาดใหญ่อยู่ เจ้าของที่เลยเกิดไอเดียบรรเจิดเนรมิตรบึงแห่งนี้ให้กลายมาเป็น "ตลาดน้ำ" ให้ผู้คนได้สัมผัสความเป็นไทย ๆ จึงจำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไทยที่เรียบง่าย เพื่อให้ผู้คนได้เรียนรู้วิถีพอเพียงดั้งเดิมที่ผูกพันกับสายน้ำตั้งแต่อดีตสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการเรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีเสน่ห์ที่น่าหลงใหลใน 4 ภาค ของประเทศไทย ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้  อีกทั้งยังเล็งเห็นว่าควรจะนำเอาของดีของเด่นทั้ง 4 ภาค มารวมไว้ด้วยกัน จึงกลายมาเป็น"ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา" สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แหล่งรวมศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และสินค้าต่าง ๆ ทั้ง 4 ภาคของไทยเอามารวมไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว หลังจากจอดรถที่ด้านหลัง (ด้านหน้าก็มีที่จอดแต่น้อยมาก) ไม่เสียค่าจอดแต่มีบริการผ้าคลุมกระจกราคาก็แล้วแต่จะให้ เสร็จสรรพเรียบร้อยก็เข้าสู่ด้านในกันเลยครับ


บรรยากาศภายใน "ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา" ยามสายๆในขณะที่นักท่องเที่ยวยังไม่มากนัก ทำให้เลือกมุมถ่ายรูปที่ถูกใจได้พอสมควร บริเวณริมน้ำมีการจำลองบ้านเรือนไทยแบบโบราณของแต่ละภาคเรียงรายเอาไว้ตลอดสองข้างทาง เสมือนชุมชนการค้าริมน้ำในอดีตให้เราสามารถเดินชมได้เรื่อยๆ โดยจะมีทางเดินหรือสะพานเชื่อมต่อระหว่างชุมชนของกลุ่มภาคต่างๆ และในบริเวณที่เป็นบึงน้ำก็จะมีแม่ค้า พ่อขาย พายเรือไปตามแม่น้ำเพื่อเสนอขายสินค้า ซึ่งเราก็สามารถเรียกแม่ค้า พ่อค้า ที่พายเรือผ่านไปผ่านมาเพื่อซื้อหาสินค้าได้ ซึ่งมีทั้งของกินเล่นๆจนถึงกินกันแบบจริงๆจังๆ ของที่ระลึก แม้แต่ด้านบนบกยังมีร้านค้าตั้งอยู่มากมาย มีทั้งอาหารของคาวและของหวานให้เลือกชิมเลือกซื้อหา ราคาก็อาจจะสูงนิดนึงไม่ว่ากันตามมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีสินค้าหัตถกรรมหลากหลายที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาคให้เลือกซื้อด้วย โดยสินค้าทั้ง 4 ภาค จะแตกต่างกันออกไปตามวิถีชีวิตแต่ละภาค ภาคเหนือจะเป็นสินค้างานไม้แกะสลัก เครื่องเงิน ผ้าพื้นเมืองลวดลายงดงามวิจิตร ผ้าไหม และร่มกระดาษ สำหรับสินค้าภาคกลาง ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์หวาย เครื่องประดับ กระเป๋าสาน ภาคอีสานโดดเด่นในกลุ่มสินค้าผ้าไหมหมัดหมี่ ผ้าไหมแพรวา เทียนหอม หมอนอิง และภาคใต้สินค้าเลื่องชื่อ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ผ้าบาติก เรือไม้จำลอง เป็นต้น


สะพานแขวน จุดขายหนึ่งของที่นี่ครับ ใช้เดินข้ามจากส่วนตลาดบนบกมายังหอคอยกลางน้ำที่ใช้เป็นสถานที่โรยตัวด้วยรอกไปยังอีกด้านหนึ่งของตัวตลาด ทำจากแผ่นไม้ยึดด้วยลวดสลิง เวลาเดินไปให้ความรู้สึกยวบยาบน่าใจหาย สะพานนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจรอคิวถ่ายรูปกันเยอะเหมือนกันครับ


ไม่ได้แวะมาเป็นปี วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศแจ่มใสจนใกล้ๆร้อนเอาเลยทีเดียว สภาพโดยรวมยังคงสวยงามอยู่ เสียอย่างเดียวน้ำในสระสีไม่ค่อยสวยเท่าไหร่


ถ้ากลัวว่าเดินชมจะไม่ทั่วถึง ก็ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาเป็นนั่งเรือชม"ตลาดน้ำสี่ภาค" ดูบ้างก็ได้ครับ ที่นี่มีเรือพายไว้ให้บริการ จะพายเองหรือให้เจ้าหน้าที่คอยพายให้ก็ตามสะดวก สนนราคาเพียงแค่ลำละ 200 บาทต่อลำ นั่งได้ 3-4 ท่าน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที 



อากาศร้อนๆแบบนี้ เริ่มต้นด้วยกาแฟเย็นโบราณดับร้อนกันสักแก้วก่อนดีกว่า กาแฟเข้มๆขมๆผสมกับนมข้นหวานและน้ำตาลคนให้เข้ากัน ราดลงบนน้ำแข็งเกล็ดหวานเย็นชื่นใจดีชะมัด


ต่อด้วยขนมครกหวานๆ สูตรต้นตำรับโบราณเมืองชลฯ รสชาดหวานมัน กรอบนอกนุ่มใน ข้ออควรระวัง ทุกครั้งก่อนทาน ต้องมั่นใจว่าไม่ร้อนจนเกินไป มิฉะนั้นเพดานปากอาจจะสุกตามขนมครกได้


ถัดไป ของโปรดสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการบริโภคแมลงทอดเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะเป็น ตั๊กแตน จิ้งหรีด รถด่วน แมงป่อง แมงดา และอีกสารพันที่สรรหามาทอดได้ แมลงนานาชนิดทอดกรอบๆคลุกเคล้าด้วยซอสและพริกไทย หอม กรอบ อร่อย กินเล่นเพลินๆหมดเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว


ดอกไม้สวยๆแขวนประดับไว้ตามทางเดินเป็นระยะๆ เข้าใจว่าน่าจะอยู่ในตระกูลแพงพวย กำลังออกดอกสีสวย หลากสีสัน สวรรค์ของคนชอบดอกไม้ จะแอ๊คท่าถ่ายรูปหรือเพียงแค่ชมก็ตามแต่ใจ


พักชมดอกไม้พอหายเหนื่อยแล้ว ไปขยายกระเพาะกันต่อครับกับเมนูปิ้งย่างดูบ้างครับ เริ่มด้วยเมนูเด็ดรายการนี้ หมึกย่าง หมึกตัวเล็กๆพอดีคำย่างด้วยไฟอ่อนๆพอสุก ปรุงรสด้วยซอสและเนยจนหอม ทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเปรี้ยวหวานตัดด้วยรสเผ็ดเด็ดอย่าบอกใคร


ถัดไปอีกหน่อย ของอร่อยอีกรายการ หมึกไข่ย่าง คราวนี้ใช้หมึกไข่ตัวโตๆสั่งตรงจากทะเลแบบสดๆปรุงรสด้วยซอสและเนยเป็นหลักเช่นกัน จากนั้นบรรจงย่างด้วยไฟให้หอมชวนน้ำลายไหล สุกแล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำ ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด อร่อยจบแบบลงตัว


ต่อด้วยเมนูธรรมดาสามัญที่มีวางจำหน่ายทั่วไปตามร้านค้าชั้นนำ ลูกชิ้นปิ้งครับ ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นหมู ปลา ไก่ เนื้อหรือเอ็น แล้วแต่ความต้องการลูกค้า ปิ้งให้ไหม้นิดหน่อยกลิ่นหอมออกมายั่วน้ำลาย จัดใส่จานราดด้วยน้ำจิ้มรสเผ็ดหวาน ทานไปเป่าไปอร่อยได้ใจสุดๆ


ยังไม่หยุดแค่นั้นจัดไปอีกสักดอก เมนูนี้ไส้กรอกย่างครับ มีทั้งไส้กรอกหมูและเนื้อ รสชาดเปรี้ยวมาก เปรี้ยวน้อย ค่อยๆเลือกเอา แม่ค้าจะหยิบไปอุ่นให้ร้อนควันฉุย หั่นเป็นชิ้นพอคำ กินแกล้มกับแตงกวา กะหล่ำปลี มีพริกขี้หนูสดกะขิงดอง ลองแล้วจะติดใจ


ต่อไปเลยครับ หอยทอดประยุกต์ในถาดขนมครก หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวโตๆเนื้อแน่น คลุกเคล้ากับแป้งที่ปรุงรสมาแล้ว ค่อยๆหยอดลงในเบ้าขนมครก พอกลิ่นหอมลอยออกมาแสดงว่าสุกเหลืองจนได้ที่แล้ว ค่อยๆแคะขึ้นมาประกบกัน ใส่ถาดโฟมราดด้วยเครื่องปรุงรส พริกไทย พริกป่น น้ำตาล น้ำปลา น้ำส้มหรือว่าซอสพริกตามถนัด สูตรใครสูตรมัน


ชมไปชิมไปจนเริ่มแน่นท้องพักกันก่อนครับ ยืนกินลมชมดอกแพงพวยสีสวยหลากสี รอให้อาหารย่อยสักหน่อยก่อน จะหามุมถ่ายรูปบนสะพานข้ามน้ำระหว่างชุมชนของภาคต่างๆก็เหมาะดี


อิ่มท้องแล้วก็ต้องมองหาของฝากกันละครับทีนี้ นี่เลย ขนมปังหมีน้อย ขนมปังแป้งนุ่มๆปั้นปะติดปะต่อกันเป็นรูปตัวหมี เขียนถ้อยคำเท่ห์ๆแนวๆไว้บนลำตัว เหมาะสำหรับเป็นของฝากแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร


ส่วนที่มีค่อนข้างเยอะก็ร้านประเภทนี้ครับ ร้านขายของที่ระลึก ของเล่นเด็ก ของฝากกระจุกกระจิกต่างๆ รวมถึงร้านค้าประเภททุกอย่างยี่สิบ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นขนมอบกรอบ ขนมขบเคี้ยว ของว่างต่างๆ ข้อควรระวังคือร้านค้าเหล่านี้รับสินค้ามาจำนวนมากๆ แล้วนำมาแพคใหม่ให้ขายได้ในราคา 20 บาท มันก็เลยไม่มีวันหมดอายุให้ดู ไม่มีมาตรฐานรองรับ เวลาซื้อควรเลือกดูให้ดีครับ 


แบบนี้ดีกว่าครับ ขนมไทยชนิดต่างๆ ข้าวต้มมัด ข้าวต้มหาง ขนมตาล ขนมใส่ไส้ ฯล ใส่เรือแจวมาขาย มีให้เลือกมากมาย ไม่ต้องกังวลกับวันหมดอายุหรือไม่หมดอายุ แกะดูหรือว่าลองชิมดูก่อนเพื่อความมั่นใจ เลือกซื้อเป็นของฝากผู้หลักผู้ใหญ่เหมาะมาก หรือจะซื้อฝากตัวเองก็ไม่ว่ากัน


ผลไม้ตามฤดูกาลหรือนอกฤดูกาลก็มีจำหน่ายในเรือริมน้ำ ในภาพก็เป็นมะม่วงน้ำดอกไม้สุก รสชาดหวานและหอมสุดๆ ปอกแล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำกินกับข้าวเหนียวมูลน้ำกะทิเหมาะมาก หรือว่าจะเป็นกล้วยไข่ หวีใหญ่ๆลูกโตๆรสหวานรับประทานง่ายก็น่าสนใจเหมือนกัน


เป็นไงบ้างครับ เดินไปชิมไปอิ่มท้อง อร่อยปากเลือกซื้อของฝากถูกใจ ครบรอบพอดี จริงๆแล้วที่ ตลาดน้ำสี่ภาคแห่งนี้ ยังมีจุดที่น่าสนใจอยู่อีกมากมาย พูดไปก็ไม่เหมือนมาดูเอง ว่างๆวันหยุดไม่รู้จะไปไหน ยังไงก็ขอให้ "ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา" เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในนั้นของเพื่อนๆละกันครับ 
และที่แนะนำอยากให้เข้าไปชมก็คือ "พิพิธภัณฑ์หนึ่งสยาม" ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมงานฝีมือ งานหัตถกรรม งานแกะสลักต่างๆไว้มากมาย หรือถ้ายังมีเวลาเหลือ ก็ขอเชิญไปร่วมย้อนรำลึกและเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ของทั้ง 4 ภาค ไม่ว่าจะเป็น การทำนาปลูกข้าว การทอผ้าไหม เรียนรู้การทำขนมไทยโบราณ ที่แปลงเกษตรสาธิตและสมุนไพรไทยก็สามารถทำได้ครับ ขณะเดียวกัน ถ้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก็สามารถหาซื้อของกินเล่นๆมานั่งรอชมการแสดงต่าง ๆ ของแต่ละภาค รวมไปถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมและร่วมสนุกได้ตลอดทั้งวันเช่นกัน 


"ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา" เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 24.00 น. แต่สำหรับวันเสาร์และอาทิตย์ จะมีการแสดงของแต่ละภาควนไปตามซุ้มต่างๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมด้วย


ท้ายที่สุดนี้หลังจากเที่ยวชม "ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา" กันมาพอหอมปากหอมคอ เพื่อนๆคงจะพอนึกออกว่า อันที่จริงแล้วเมืองไทยของเรายังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยอยู่อีกมากมายรอให้เราไปสัมผัส นักท่องเที่ยวจากโซนอเมริกา ยุโรป ฯล หรือแม้แต่บ้านใกล้เรือนเคียงกัยเรา อย่างจีน ญี่ปุ่น ฯล ก็ยังอุตสา่ห์ดั้นด้นเพื่อจะมาเที่ยวเมืองไทย เพราะฉะนั้นเราเองในฐานะคนไทยก็อย่าหลงลืมแหล่งท่องเที่ยวและเอกลักษณ์ของตัวเราเอง ช่วยๆกันนะครับเพื่อเมืองไทยของเรา เศรฐกิจไทยของเรา สวัสดีครับ...

ขอบคุณข้อมูลประกอบเรื่องจาก http://travel.kapook.com                   

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เที่ยวหน้าฝน@อุบลราชธานี ตอน ตลาดชายแดนช่องเม็ก โขงเจียม

ตีห้าครึ่งของเช้าวันที่ 24 กรกฏาคม 2556 ผมตื่นนอนมาด้วยอาการแฮงค์นิดหน่อย ผลพวงจากการจัดหนักเมื่อคืน หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว คุณโอวาทแกก็ตื่นมานึ่งข้าวอุ่นกับข้าวอะไรไปตามเรื่องของแก ส่วนผมก็นั่งชมบรรยากาศยามเช้าพร้อมด้วยจิบเบียร์เย็นๆที่ท่านเจ้าบ้านเก็บไว้ให้อีกขวด ค่อยสบายหายปวดหัวหน่อย  เวลาล่วงเลยไปสักเกือบ 7 โมงเช้า สมาชิกภายในบ้านเริ่มทยอยกันออกไปทำงาน หลังจากขอบคุณและร่ำลาท่านเจ้าของบ้านเป็นที่เรียบร้อย พวกเรา(ผมกะโอวาท)ก็เริ่มออกเดินทางเหมือนกันโดยรถยนต์ฮอนด้าแอคคอร์ดรุ่นใหม่ล่าสุด (เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว) ใช้เบียร์เป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนเมื่อออกมาจากบ้านได้นิดหน่อยก็เริ่มต้นกระป๋องแรกกันแล้ว พวกเราเลือกใช้เส้นทาง ตาลสุม-ศรีเมืองใหม่ ลัดเลาะผ่านทุ่งนาที่ได้น้ำฝนจนดูเขียวขจีไปทั่วท้องทุ่งที่เราขับรถผ่าน อากาศยามเช้าค่อนข้างสดชื่น ไร้มลพิษเปิดกระจกหายใจได้เต็มปอด ชีวิตในท้องทุ่งนากำลังเริ่มต้น บ้างก็ไถ บ้างก็ดำ บ้างก็ตกปลาไปตามเรื่อง พวกเราขับรถไปเรื่อยๆไม่รีบร้อน เบียร์กระป๋องแรกเริ่มพร่อง เราแวะจอดกันอีกทีระหว่างทางถามแม่ค้าว่ามีกาแฟขายมั้ย (แต่ตั้งใจไปซื้อเบียร์) เรียบร้อยก็ออกเดินทางต่อพอกระป๋องสองใกล้หมดก็หาร้านค้าซื้อมาตุนไว้อีก กับแกล้มก็หาเอาแถวๆนั้นแหละครับ ประเภทปลาเล็กปลาน้อยปรุงเครื่องแล้งปิ้งไฟหอมๆ เข้ากันได้ดีกับสิ่งที่ถืออยู่ในมือจริงๆขอบอก
เวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงเศษๆเบียร์กระป๋องสามเหลืออีกนิดหน่อย พวกเราก็มาถึงทางแยกเข้าอำเภอศรีเมืองใหม่  เราเลือกเลี้ยวซ้ายกลับไปทางอำเภอตระการพืชผล ประมาณสัก 10 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายอีกทีเข้าจอดที่หน้าบ้านพี่สมปองเกือบๆ 9 โมงเช้าใกล้เคียงกับเวลานัดหมาย เด็กๆไปโรงเรียนกันหมดแล้ว พี่สมปองและครอบครัวกำลังล้อมวงทานมื้อเช้ากันอยู่พอดี พวกเราไม่รีรอที่จะเข้าร่วมวงแบบไม่ต้องรอให้เรียกซ้ำสอง อาหารแบบง่ายๆน้ำพริก ผักสดและผักนึ่ง แกงและหมกหน่อไม้ มื้อนี้เมนูเห็ดมาเด่นเป็นพิเศษทั้งนึ่ง เสียบไม้ปิ้งไฟหอมๆ และที่เป็นพระเอกของงานนี้ก็คือ เห็ดถ่านครับ ดำสนิทเหมือนถ่านจริงๆ นึ่งสุกจิ้มกับแจ่วแบบท้องถิ่นอร่อยสุดๆ พี่สมปองแกว่าถ้าเรามาไม่ตรงกับหน้าของมันก็ไม่มีกินนะเออ ถือว่าเป็นโชคดีที่ได้กินของแปลกๆและหากินได้ยากครับ หลังจากมื้ออาหารเช้าเรียบร้อย นั่งย่อยข้าวสนทนากันอีกสักพัก คุณโอวาทแกก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ (ต้องขอขอบคุณครอบครัวบุญสุขไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งครับ สำหรับ การต้อนรับที่อบอุ่น อาหารอร่อยๆ ที่พักสบายตามอัตภาพและยังกรุณามาส่งให้จนถึงที่อีกด้วย) 


หลังจากรอผมอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เรียบร้อย พวกเรา(พี่สมปอง ทิดเซียง คุณเมตตา คุณเยาว์และผม ไม่มีเด็กๆร่วมขบวนเหมือนเคยรู้สึกเงียบๆเหมือนกัน) ก็พร้อมออกเดินทางกันต่อ เป้าหมายของเราวันนี้อยู่ที่ตลาดการค้าชายแดนช่องเม็กและปิดท้ายด้วยโขงเจียมครับ BT50 Pro คันเก่งพาพวกเรามุ่งหน้าไปตามเส้นทางหมายเลข 2134 และไปต่อด้วยเส้นทาง 2173 รวมระยะทางประมาณ 60กว่ากิโลเมตรกับระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดหน่อยพวกเราก็มาถึงบริเวณด่านชายแดนช่องเม็กกันแล้วครับ ก่อนอื่นเราต้องทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวกันก่อน (ผมพกพาสปอร์ตไปด้วยแต่ว่าคนอื่นๆไม่มีก็เลยตกลงทำให้เหมือนๆกันเพื่อความสะดวก) ขั้นตอนง่ายๆไม่ยุ่งยากครับแค่ถ่ายบัตรประชาชนคนละ2-3ใบ เพื่อใช้ในการทำเรื่องผ่านแดน บัตรผ่านแดนชั่วคราวนี้มีกำหนดเวลาท่องเที่ยวในลาวได้ 3 วัน 2 คืน และหากจะนำรถเข้าไปทางฝั่งลาว ต้องนำรถไปทำพาสปอร์ตรถที่สำนักงานขนส่งจังหวัด ผู้ขับขี่จะต้องนำสำเนาใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ และสำเนาใบเสียภาษีรถยนต์ ไปยื่นเรื่องขออนุญาตด้วย เวลาทำการของด่านชายแดนช่องเม็ก เปิดทำการเวลาแปดโมงเช้าปิดหกโมงเย็น ส่วนค่าทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวคนละ 30 บาท (ขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลจากอินเทอร์เนท)ในส่วนหน้าของด่านชายแดนผมไม่ได้ถ่ายไว้เพราะยุ่งๆกับการรับโทรศัพท์อยู่เลยต้องขอยืมเค้ามาให้ชมครับ


พอผ่านขั้นตอนจากด่านขาออกประเทศไทย และด่านขาเข้าของประเทศลาวเรียบร้อย ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนักด้วยความที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนบางตามาใช้บริการ เดินลอดอุโมงค์ไปไม่นานก็จะเข้ามายืนอยู่ในดินแดนของลาวเต็มตัว สิ่งแรกที่สะดุดตาก็คือ ร้านค้าปลอดภาษีดาวเรือง ตั้งอยู่บริเวณซ้ายมือตอนที่เดินเข้าไป ที่นี่พวกเราก็ได้แวะทานกาแฟ และตากแอร์เย็นๆพร้อมกับเลือกซื้อของฝากประเภทขนมขบเคี้ยวจากที่กันพอสมควร ตอนก่อนที่จะข้ามกลับมาฝั่งไทย


สภาพทั่วไปเท่าที่มองเห็น สองข้างทางกำลังอยู่ในช่วงก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่ ดังภาพทางด้านขวามือที่ล้อมรั้วเอาไว้ คาดว่าลาวคงเตรียมตัวไว้ต้อนรับประชาคมอาเซียนแน่นอน (ผมเดาเอาเอง) พ่อค้าแม่ค้าก็มีไม่เยอะนัก นักท่องเที่ยวก็ดูบางตา คงเป็นเพราะยังไม่ถึงเทศกาลท่องเที่ยวก็เป็นได้ อากาศค่อนข้างร้อนครับ พวกเราเดินชมอยู่บนถนนสักพักก็หลบลงไปเดินในร้านค้าที่อยู่ด้านล่างติดกับถนนนั่นเอง ผิดคาดครับด้านล่างร้อนและอบอ้าวกว่าด้านบนซะอีก เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ก็จะปลูกเป็นเพิงกึ่งถาวรติดๆกันไป รวมทั้งการระบายอากาศที่ไม่ค่อยดีทำให้รู้สึกอึดอัดพอสมควร


พวกเราเลือกเดินชมกันไปเรื่อยๆ บรรดาแม่ค้าพ่อค้าร้องเชิญชวนให้เข้ามาชมเป็นระยะๆ สินค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็น จำพวกผ้าทอทั้งหลาย ผ้าไหมผ้าถุง ผ้าห่ม ผ้าพันคอ เสื้อผ้า ฯลฯ (แท้ไม่แท้พิจารณากันเอาเอง ตาดีได้ตาร้ายเสียครับ) รองเท้าแบรนด์เนม กระเป๋าก๊อปปี้แบรนด์ดังๆสนนราคาแล้วแต่ความสามารถในการต่อรอง สินค้าจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สร้างความบันเทิงส่วนตัว กล้องถ่ายรูป ฯลฯ (อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัวและความสามารถในการเลือกดูและต่อรองครับ) และที่เห็นมากที่สุดก็คือ โทรศัพท์มือถือครับ ทุกรุ่นทุกยี่ห้อที่กำลังอยู่ในความนิยมหรือเพิ่งออกมาใหม่ๆ มีวางขายอยู่ที่นี่เกือบทั้งหมด (ไอโฟน5 ราคา500-1000 เอส4 นี่ไม่เกิน2000 รับประกันก่อนข้ามด่าน กลับบ้านแล้วตัวใครตัวมัน) เท่าที่สังเกตุดูสินค้าส่วนใหญ่ก็จะมาจากประเทศจีนเสียเป็นส่วนใหญ่ ราคาค่อนข้างถูก(ถ้ากล้าต่อ ส่วนใหญ่คนขายก็จะกล้าให้เสียด้วย) แต่คุณภาพกรุณาอย่าถามหา อ้อ !ลืมไปที่นี่ใช้ได้ทั้งเงินบาทและเงินกีบ เงินดอลฯ ยินดีต้อนรับทุกประเภทครับ


และหนึ่งในสินค้าขายดีติดอันดับ นี่เลยครับ เหล้า เบียร์ บุหรี่ ทุกกลิ่นทุกสี ทุกยี่ห้อ ที่มีบนโลกใบนี้ (อาจจะเวอร์ไปหน่อย) สนนราคาก็ไม่แพงครับ ราคามีตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไปอยู่กับความสามารถในการต่อรองเช่นกัน แต่เรื่องรสชาด ความสะอาดและความปลอดภัยไม่รู้จะหาใครมารับประกัน บุหรี่ข้างในอาจจะขึ้นรา เหล้าในขวดก็อาจจะปลอมปน พวกผู้ชายอย่างเราๆได้แต่ถามเอาความสนุกสนานเสียมากกว่าจะคิดซื้อ สรุปว่าเราก็ไม่ได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับมาลองกันซักขวด เพราะไม่แน่ใจในเรื่องของความปลอดภัยเท่าใดนัก


ในที่สุดหลังจากเดินวนไปวนมาจนรู้สึกร้อนและเหนื่อย (ผลพวงจากเมื่อคืนและเมื่อเช้า) ผม พี่สมปองและทิดเซียง เลือกที่จะนั่งพักที่หน้าร้านแห่งหนึ่งเกือบๆสุดแนวร้านค้าทั้งหมด ส่วนสองสาวยังเลือกที่จะไปช็อปกันต่อ พี่สมปองแกก็รู้ใจรีบจัดหาเครื่องดื่มดับกระหายคลายร้อนมาให้ผมและทิดเซียงคนละหนึ่งกระป๋องยาว ส่วนตัวแกเองดื่มเป๊บซี่ภาคภาษาลาว เบยลาวหรือเบียร์ลาว หน้าตาคล้ายๆช้างดราฟท์บ้านเรา รสชาดดีไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยังจำติดลิ้นเมื่อครั้งลุยเดี่ยวเที่ยวลาวเหนือเมื่อปีที่แล้ว หมดไปคนละหนึ่งยังไม่อยู่ต้องต่ออีกคนละกระป๋องที่นี้สบายหายปวดเมื่อย พอสองสาวกลับมาพร้อมหน้าพวกเราก็ออกเดินทางกลับกันครับ คราวนี้เราเลือกเดินไปตามถนนด้านบน เพื่อชมร้านค้าด้านบนกันดูบ้าง


ร้านค้าด้านบนก็ขายสินค้าคล้ายๆกับด้านล่างแหละครับ แต่จะแตกต่างกันตรงที่ตัวร้านค้าจะมั่นคงน้อยกว่า คล้ายๆว่าเตรียมพร้อมที่จะรื้อถอนได้ทุกเมื่อ ร้านที่เห็นนี้ก็เป็นร้านขายสินค้าที่ระลึกครับ สินค้าประเภทเสื้อยืดพิมพ์ลายภาษาลาว หมวก พวงกุญแจ กระเป๋าสตางด์ปักลายเล็กๆน่ารัก ฯลฯ เหมาะสำหรับเป็นของฝากมากกว่าเอาไปใช้งาน ที่นี่ผมก็ได้เสื้อยืดพิมพ์ลายอักษรลาวมาสองตัว ราคาตัวละ 100 บาท สำหรับใช้เป็นหลักฐานการเดินทางทริปนี้


เครื่องดื่มบำรุงกำลังประเภทต่างๆก็มีวางจำหน่ายเยอะแยะไปหมด ทั้งชนิดน้ำ ชนิดผงดองเหล้า ที่ทำมาจากสมุนไพรรากไม้ต่างๆ ที่ผู้ขายคุยฟุ้งว่ามีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูกำลังเป็นหลัก รวมถึงชนิดที่ดองสำเร็จแล้วก็มีเช่นกัน ในภาพที่พี่สมปองแกถือเป็นยาดองเหล้ามีงูขดอยู่ก้นขวด (ไม่รู้ว่างูจริงหรือปลอมเหมือนกัน) ดองตะขาบ แมงมุม ฯล แค่เห็นยังหวั่นๆเลยครับอย่าว่าแต่ซื้อมากินเลย 555 ประเภทที่ดองใส่รากไม้ต่างๆก็มีเยอะเหมือนกัน สรรพคุณก็คล้ายๆกัน เน้นเรื่องบนเตียงเป็นหลัก ไอ้แบบนี้หน้าตาค่อยดูดีหน่อย แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็ไม่ได้ซื้อมาเช่นกัน สนนราคาก็มีตั้งแต่ 100 บาทเป็นต้นไปแปรผันตามสรรพคุณของตัวยาที่บรรจุอยู่ในขวด


นี่เลยครับเจ้าตัวนี้เอง นกกรงหัวจุกของฝั่งลาว ที่เพื่อนผมอยากได้มากๆ มันบอกว่าเสียงดีกว่านกไทย (ตรงไหนก็ไม่รู้ของมัน) แต่ผมก็ไม่กล้าซื้อมาฝาก ไม่รู้ว่าสามารถนำข้ามกลับมาฝั่งไทยได้หรือปล่าว ราคาก็เลยไม่ได้สอบถามดูเหมือนกัน ใครมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างช่วยแชร์หน่อยครับ


ในบรรดาสินค้าดาวเด่นก็เห็นจะไม่พ้น พืชผักพื้นบ้านจำพวกเห็ดทั้งหลายนี่แหละครับ แม่ค้าชาวบ้านนำมาวางจำหน่ายกันเยอะมาก เห็ดที่เห็นในรูปแม่ค้าลาวบอกว่าเป็นเห็ดปลวก แต่พี่สมปองแกว่าหน้าตามันไม่เหมือนกับของที่บ้านแก ก็เลยไม่ได้ซื้อมาลอง


ส่วนผักชนิดนี้แถวบ้านผมเรียกว่าผักสารภีครับ นำมาลวกหรือกินสดๆจิ้มกับน้ำพริกก็อร่อยดีเหมือนกัน ส่วนทางภาคอีสานเรียกผักกระจอง แม่ค้าจะเก็บส่วนดอกอ่อนๆของมันเอามาวางขาย ราคาไม่แพงครับ 5 บาท 10 บาทเท่านั้นเอง


เจ้าตัวนี้ทางฝั่งลาวเค้าเรียก กบ แต่ผมว่าน่าจะเรียกเขียดหรือกบน้อยจะดีกว่า พี่สมปองว่าเอาไปทำหมกปิ้งหรือแกงอ่อมอร่อยมาก แต่ผมดูแล้วว่าน่าเอาไปปล่อยเอาบุญ มากกว่าจะเอาไปทำอะไรกิน


ขนมปังฝรั่งเศสหรือบาแกต ชนิดแข็งตีหัวแตกมีวางขายทั้งแบบเป็นขนมปังเฉยๆและแบบที่ใส่ไส้ต่างๆ ตามต้องการ แม่ค้าเค้าเรียกว่าแซนวิช สนนราคา 10000-15000 กีบประมาณ 40-50 บาทไทยโดยประมาณ คุณเมตตาแกทำท่าหยิบมาถ่ายรูปเล่นๆ แม่ค้าแกก็เป็นใจเล่นด้วยซะอีก


หน้าฝนแบบนี้ หน่อไม้ก็มีวางจำหน่ายเยอะเหมือนกันครับ มีทั้งแบบสด แบบต้ม แบบที่ต้มแกะเปลือกออกแล้วแพคใส่ถุงให้เรียบร้อยก็มี สนนราคาว่ากันไปตามความสามารถในการต่อรองเช่นกัน แต่พวกเราไม่ได้ซื้อ เพราะว่าทุกมื้ออาหารของเราก็กินกันจนหน้าจะเป็นหน่อไม้อยู่แล้วเหมือนกัน


หลังจากนั้นพวกเราก็แวะซื้อของฝากประเภทขนมขบเคี้ยวบางส่วน (ขอแนะนำว่าถ้าเป็นของกิน ประเภท เหล้า เบียร์ ขนมมของฝากต่างๆควรจะซื้อกับร้านนี้จะมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยมากกว่าร้านค้าด้านในครับ) และนั่งจิบกาแฟเย็นๆคลายร้อนกันที่ร้านค้าปลอดภาษีดาวเรืองสักครู่ใหญ่ ๆ  เราจึงออกเดินทางข้ามแดนกลับฝั่งไทยกันครับ ขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากเหมือนขาเข้ามา ถ้าเราไม่มีสิ่งของต้องห้ามหรือสิ่งของผิดกฏหมายก็ไม่ต้องกังวลอะไร ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยพวกเราก็กลับมายืนอยู่ในฝั่งไทยซะแล้ว 555 ที่ด้านหน้าด่านบริเวณลานจอดรถฝั่งไทย ก็มีร้านค้าคล้ายๆกับที่ในฝั่งลาวเหมือนกัน สินค้าส่วนใหญ่ก็คล้ายกัน ราคาก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก ผมว่านะถ้าเราไม่ซีเรียสอะไรนะ เราก็จะสามารถหาซื้อสินค้าเหมือนๆกันได้โดยแทบไม่ต้องข้ามฝั่งไปในลาวเลยก็เป็นได้
หลังจากเก็บข้าวของเข้าที่เรียบร้อยพวกเราออกเดินทางกันต่อ เป้าหมายต่อไปของเราคือโขงเจียมครับ พี่สมปองขับรถย้อนกลับมาตามเส้นทาง 2173 ต่อด้วยเส้น 2134 เส้นเดิมแล้วแยกขวาไปตามเส้นทาง 2112 ประมาณสัก 4 กิโลเมตร ก็ถึงจุดหมายปลายทาง โขงเจียมแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี พวกเรามาถึงที่นี่ประมาณ 3-4 โมงเย็น ฝนกำลังตกปรอยๆ ในแม่น้ำโขงบริเวณที่เป็นแม่น้ำสองสี จุดขายของที่นี่ไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่เลย อาจเป็นเพราะสายฝนที่ตกปรอยๆอยู่และกระแสน้ำในแม่น้ำโขงที่ดูเหมือนกำลังเชี่ยวพอสมควร พวกเราก็เลยตกลงกันว่าจะไม่ลงเรือไปชมเหมือนกันเพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ก็เลยเลือกที่จะขับรถวนเที่ยวชมเท่าที่ทำได้แค่นั้นก็พอ (ผมไม่ได้ถ่ายรูปที่นี่ไว้เพราะสภาพอากาศไม่อำนวย ต้องขอยืมภาพสวยๆจากอินเทอร์เนทมาประกอบเรื่องเหมือนเดิมครับ)


พี่สมปองขับรถพาพวกเราวนเที่ยวอยู่พักใหญ่ นักท่องเที่ยวจำนวนบางตา ท้องฟ้าหม่นๆไม่ค่อยแจ่มใส ชวนให้น่านั่งนอนมากกว่าการท่องเที่ยว พวกเราเลยสรุปกันว่าขับรถไปหาซื้อปลาคังสดๆจากแม่น้ำโขง สำหรับมื้อเย็นนี้กันก่อนกลับจะดีกว่า ว่าแล้วพี่สมปองแกก็พาเราแวะไปที่ร้านขายปลาสดชื่อดังแห่งหนึงในย่านนี้ ชื่ออะไรผมจำไม่ได้ ขายปลาจากแม่ม้ำโขงอย่างเดียว พี่สมปองถามหาปลาคังสด เจ้าของร้านแกพาไปดูในตู้แช่ มีปลาคังอยู่หลายตัวเหมือนกัน แต่แกว่ามันไม่ค่อยสดเ่ท่าไหร่นักเพราะเรือออกไม่ค่อยได้ น้ำมันแรง พี่สมปองเลยเลือกตัวที่ใหม่ที่สุดมา 2 ตัวเขื่องๆ สนนราคาเกือบ 500 บาท (ขอบคุณภาพประกอบสวยๆจากอินเทอร์เนทเช่นเคย)


สมตามความปรารถนา ปลาคังสดๆ2ตัวสำหรับมื้อเย็น พวกเราออกเดินทางจากโขงเจียมตอนเกือบๆ 5 โมงเย็น ขับกลับมาตามเส้นทางเดิม เลี้ยวขวาเข้าเส้นทาง 2134 ยิงตรงไปอำเภอศรีเมืองใหม่ สมาชิกส่วนใหญ่หลับไปแล้วคงเป็นเพราะเพลียแดด คงเหลือผมกับพี่สมปองคุยกันมาเบาๆระหว่างเดินทาง ใช้เวลาไม่นานเท่าขามา พวกเราก็กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ 
กลับมาถึงบ้านพี่สมปองและทิดเซียงพากันเข้าครัวไปประกอบอาหารมื้อเย็น ส่วนผมกับหลานๆที่กลับมาจากโรงเรียนแล้วนั่งเล่นกันอยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน พร้อมด้วยจิบเครื่องดื่มเย็นๆเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายไปเรื่อยๆ ทิดเซียงแอบออกจากครัวแวะเวียนมาเติมดีกรีเป็นระยะๆ ไม่นานนัก เมนูเด็ดจานแรกก็พร้อมเสิร์ฟแล้วครับ ปลาคังลวกจิ้ม ปลาคังสดๆ หั่นเป็นชิ้นบางๆพอคำ ลวกสุกพอหวานๆนุ่มชุ่มลิ้น จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรของทิดเซียงเข้ากันดีเหมือนปี่กะขลุ่ย ไม่ว่าจะกินเล่นๆเป็นกับแกล้มหรือจะกินเป็นงานเป็นการ ทานกับข้าวสวยร้อนๆก็อร่อยอย่าบอกใคร


เย็นวันนี้พวกเราใช้เวลาในวงอาหารยาวนานเป็นพิเศษกว่าทุกๆวัน คงเป็นเพราะว่านี่คือมื้อท้ายสุดที่พี่สมปองและครอบครัวจะได้ทานข้าวร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา หลังจากมื้ออาหารเช้าวันพรุ่งนี้เราคงออกเดินทางกลับชลบุรีกันในตอนสายๆ ข้าวปลาอาหารถูกลำเลียงมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่ ปลาคังลวกจิ้ม ต้มยำปลาคังร้อนๆซดน้ำคล่องคอ น้ำพริกแจ่มผักลวก ผักสดและเห็ดนาๆชนิด ห่อหมกหน่อไม้ แหนมหมูทำเองและไข่เจียวสำหรับเด็กๆ กินกันไปคุยกันไปในหลายๆเรื่องราว เพื่อนบ้านหลายๆท่านแวะมาเยี่ยมเยือนและให้การต้อนรับเป็นอย่างดี จนไม่รู้สึกว่าผมอยู่ไกลจนเกือบสุดชายแดนไทย ต้องขอขอบคุณในมิตรไมตรีที่มีให้คนเดินทางต่างถิ่นอย่างผมไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ 


หลังจากมื้ออาหารเย็นอันยาวนานจบลงเรียบร้อย ก่อนที่พวกเราจะเข้าพักผ่อนคืนสุดท้ายที่นี่ พี่สมปองและน้องเมตตาเริ่มเตรียมตัวบรรจุข้าวของสัมภาระต่างๆในกล่องและถุงดำ เพื่อป้องกันฝนที่อาจจะตกในระหว่างทาง ผมเองก็เช่นกัน หลานสาวทั้งสองนั่งมองดูอยู่ใกล้ๆ แต่เงียบเสียงไปถนัดใจ พวกเขาคงนึกรู้ในใจว่าวันพรุ่งนี้ พ่อกับแม่ต้องเดินทางกลับเพื่อมาทำงานอีกแล้ว ความเงียบเข้าปกคลุมแทนที่ความร่าเริงและเสียงเจื้อยแจ้วของสาวน้อยทั้งสอง บรรยากาศเงียบเหงาไปถนัดใจ แม้ผมจะรู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องเกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย จริงๆ
และในท้ายที่สุดนี้ ผมต้องขอขอบคุณ พี่สมปอง คุณเมตตาและครอบครัวรวมถึงเพื่อนบ้านทุกๆท่าน ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและให้การดูแลเป็นอย่างดีตลอดเวลาที่ผมพักอยู่ที่นี่ แม้จะไม่ใช่บ้านที่ใหญ่โต ไม่สะดวกสบายนักแต่ด้วยมิตรภาพ ความรักและความอบอุ่นของผู้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านน้อยหลังนี้ต่างหากที่ทำให้บ้านหลังนี้ดูยิ่งใหญ่และสวยงามมากขึ้นกว่าสื่งที่สายตามองเห็น เป็นอีกทริปหนึ่งที่ดึงเอาความประทับใจของผมออกไปจนเกือบหมด แม้จะจบแบบเศร้าด้วยการจากลา แต่ว่าสักวันเราคงได้เจออีกกันแน่ๆ และที่ลืมเสียไม่ได้ก็คือผู้อ่านทุกๆท่าน ที่ติดตามกันตั้งแต่เดินทางออกจากชลบุรี ตามกันไปเที่ยวผาแต้ม เสาเฉลียง น้ำตกสร้อยสวรรค์ งานแห่เทียนพรรษาเมืองอุบลฯ ตลาดช่องเม็กและจบแบบครึ่งๆกลางที่โขงเจียม แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้า ส่วนจะเป็นที่ไหน อย่างไรติดตามกันต่อไปนะครับ ขอบคุณครับ...

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เที่ยวหน้าฝน@อุบลราชธานี ตอน แห่เทียนพรรษา เฮฮากับเพื่อนเก่า

วันที่ 23 กรกฏาคม 2556 เช้านี้สภาพอากาศยังคงเหมือนเดิม ท้องฟ้าฉ่ำน้ำพร้อมจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ แต่เป็นความตั้งใจแล้วครับอย่างไรก็ต้องเดินทางไปปัญหาไว้ค่อยแก้เอาข้างหน้าอีกที วันนี้เรามีโปรแกรมไปเที่ยวชมงานแห่เทียนพรรษาของเมืองอุบลฯกัน และในภาคบ่ายผมก็ได้นัดหมายกับเพื่อนรุ่นน้องที่เคยทำงานด้วยกัน(คุณโอวาทและคุณอ้อย) ไว้ว่าจะแวะไปเยี่ยมหลานที่บ้านและรบกวนข้าวสักมื้อกับที่นอนสักคืน หลังจากทานอาหารเช้าแบบง่ายๆกันที่บ้านเรียบร้อย พวกเราจึงออกเดินทางกันด้วยพาหนะคันเดิม BT50 PRO ของพี่สมปองและภรรยา พร้อมด้วยคณะเด็กๆจากเมื่อวานยังตามมากันครบ เราออกเดินทางจากศรีเมืองใหม่กันตอนเกือบๆ 9 โมงเช้าอากาศไม่ร้อนเ่ท่าไหร่แต่กลัวฝนจะตกมากกว่า กลุ่มเด็กๆนั่งเฮฮากันอยู่กระบะท้าย พวกเราใช้เส้นทาง โขงเจียม-ตระการพืชผล โดยวิ่งย้อนกลับมาทาง อ.ตระการพืชผล ก่อนเลี้ยวซ้ายสู่ตัวจังหวัดอุบลราชธานี ระยะทางโดยรวมไกลพอสมควรเหมือนกันแต่ตลอดเส้นทางฝนยังไม่ตกครับ ไม่นานเราก็เข้าสู่ตัวจังหวัดอุบลฯ มุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะทุ่งศรีเมืองซึ่งใช้จัดงานแห่เทียนพรรษา รถหนาแน่นพอสมควรแต่เราก็ยังพอหาที่จอดรถได้ในวัดใกล้ๆกับสถานที่จัดงานชื่อวัดทุ่งศรีเมืองครับ ไม่นานเราก็มาเดินปะปนกับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ซึ่งมาชมการแห่เทียนพรรษาเหมือนกัน ขบวนแห่กำลังเริ่มต้นพอดีตามมาชมกันเลยครับ (ภาพอาจจะไม่เรียงนะครับ เพราะว่านำมาจัดเรียงใหม่ตามความเหมาะสม)


ก่อนจะไปเที่ยวชมขบวนเทียนพรรษา เรามาสักการะศาลหลักเมืองของจังหวัดอุบลราชธานีกันก่อนดีกว่าครับ ศาลหลักเมืองนี้ตั้งอยู่บนถนนศรีณรงค์ ทางทิศใต้ของทุ่งศรีเมืองและอยู่ทางทิศเหนือของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี


สัญลักษณ์ประจำจังหวัดของจังหวัดอุบลราชธานีอีกอย่างหนึ่ง แท่งเทียนพรรษายักษ์กลางสนามทุ่งศรีเมือง สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542 ถ้าไม่ได้เห็นถือว่ามาไม่ถึงจังหวัดอุบลฯครับ จากนี้ผมก็จะพาดูภาพถ่ายของขบวนเทียนพรรษาจากวัดต่างๆในจังหวัดอุบลฯ (ที่จริงแล้วถ่ายไว้ค่อนข้างเยอะแต่ขอนำเสนอเพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้านำเสนอทั้งหมดมันจะยาวไปครับ) พร้อมกับแทรกเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการแห่เทียนพรรษาของเมืองอุบลฯไปด้วย พร้อมแล้วตามมาเลยครับ


วันเข้าพรรษา คือ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติหรืออยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคมแล้วนับไปอีก 3 เดือนก็จะเป็นวันออกพรรษา ซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรืออยู่ในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี เมื่อพระต้องหยุดพักฝนหรือหยุดเข้าพรรษาทำให้พระมีเวลาศึกษาหาความรู้โดยเฉพาะการอ่านหนังสือ เวลาอ่านหนังสือให้เข้าใจและจดจำได้ดีที่สุดคือเวลากลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่เงียบสงบทำสมาธิได้ง่าย ในสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าเวลาพระจะอ่านหนังสือจึงจุดเทียน เมื่อชาวบ้านทราบจึงทำเทียนไปถวายพระ โดยเฉพาะการถวายในวันเข้าพรรษา ซึ่งถือว่าได้บุญกุศลมากยิ่งนัก นั่นคือจะทำให้ชีวิตของผู้ถวายมีความสุขสบาย สว่างไสว ไม่มืดมน หรืออีกนัยหนึ่งเป็นผู้มีปัญญา มีความรู้ เฉลียวฉลาดนั่นเอง ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Bright การถวายเทียนแด่พระในวันเข้าพรรษาจึงเป็นประเพณีของชาวพุทธมาแต่โบราณกาลนับเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่ในปัจจุบันชาวบ้านสมัยใหม่จะนิยมถวายหลอดไฟฟ้าแทน เพราะมีความสว่างมากกว่าเทียน ใช้งานง่าย สะดวก และได้บุญกุศลมากเช่นกัน


ชาวอุบลฯก็เหมือนกับชาวพุทธสานิกชนโดยทั่วไปครับ เมื่อถึงวันเข้าพรรษาก็จะนำเทียนพรรษาไปถวายที่วัด ในสมัยก่อนยังไม่มีเทียนสำเร็จรูปขาย ชาวบ้านจะใช้ขี้ผึ้งซึ่งได้จากรังผึ้งมาต้มให้ละลายแล้วเอาฝ้ายที่จะทำเป็นไส้เทียนจุ่มลงไปในน้ำผึ้งที่ละลายนั้น จากนั้นปล่อยให้เย็นพอที่จะเอามือคลึงให้ขี้ผึ้งโอบล้อมไส้เทียนให้เต็ม (วิธีการแบบนี้ชาวอุบลฯ เรียกว่า ฟั่นเทียน”) จากนั้นนำมาตัดตามขนาดที่ต้องการ เสร็จเรียบร้อยก็กลายเป็นเทียนพรรษาที่พร้อมนำไปถวายวัดได้ครับ


การนำเทียนพรรษาไปถวายวัดของชาวอุบลฯในสมัยก่อน ก็ไม่ได้มีการแห่แหนหรือการประกวดประขันกันอย่างทุกวันนี้ เป็นแต่เพียงการถวายเทียนพรรษาพร้อมกับเครื่องไทยธรรมไทยทานอื่นๆ รับศีลรับพรจากพระ เสร็จพิธีแล้วก็ลากลับบ้านเท่านั้นเองครับ ส่วนสาเหตุที่การถวายเทียนจะต้องมีการแห่แหนและมีการประกวดประขันนอย่างทุกวันนี้ เล่ากันว่าเริ่มมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ เมื่อครั้งที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้เป็นข้าหลวงใหญ่มาปกครองมณฑลลาวกาว ซึ่งมีที่ตั้งมณฑลอยู่ที่เมืองอุบลฯ ได้เห็นการบาดเจ็บล้มตายของชาวบ้านจากงานประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งมีทั้งบาดเจ็บล้มตายเพราะบั้งไฟระเบิดหรือตกใส่บ้านเรือน หรือบาดเจ็บล้มตายเพราะการทะเลาะวิวาทตีรันฟันแทงเพราะความเมามายในสุรา หรือบางครั้งเพราะการละเล่นโคลนตมที่สนุกสนานเกินเลย หรือการละเล่นตุ๊กตาไม้ในท่าทางร่วมเพศตามแบบฉบับของงานบุญบั้งไฟ เรื่องต่างๆ เหล่านี้พระองค์ท่านทรงเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ดีไม่งาม จึงให้ยกเลิกการจัดงานบุญบั้งไฟและให้เปลี่ยนเป็นการแห่เทียนพรรษาแล้วนำไปถวายวัดเป็นการทดแทน


เทียนพรรษา ในสมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิ์ประสงค์นั้นจะเป็นการทำเทียนร่วมกันของชาวบ้านในแต่ละคุ้ม โดยการนำขี้ผึ้งมารวมกันต้มให้ละลายแล้วเทใส่เบ้าหลอม ตกแต่งให้สวยงามแล้วใส่คานหามหรือบรรทุกใส่เกวียน นำเข้าขบวนแล้วแห่ไปรวมกันที่หน้าศาลากลางมณฑล เมื่อทุกคุ้มมารวมพร้อมกันแล้ว พระองค์จะประทานรางวัลให้กับคุ้มที่ทำต้นเทียนได้สวยงาม เสร็จแล้วจะให้จับฉลากว่าคุ้มไหนจะถวายเทียนวัดอะไร เมื่อรู้ว่าจะไปถวายวัดอะไรแล้วแต่ละคุ้มก็จะแห่แหนไปถวายวัดนั้น การแห่เทียนพรรษาจึงเริ่มมีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


การทำเทียนพรรษาของชาวบ้านแต่ละคุ้มในระยะแรกนี้ จะเป็นเทียนที่สามารถจุดใช้งานได้จริง มีขนาดเท่ากับต้นไผ่ (เพราะใช้ต้นไผ่เป็นเบ้าหลอม) บางคุ้มก็จะเท่ากับต้นกล้วย แล้วแต่ว่าคุ้มไหนจะหาเบ้าหลอมและหาขี้ผึ้งได้มากน้อยแค่ไหน ผิวต้นเทียนจะเรียบมันไม่มีลวดลาย แต่จะแต่งต้นเทียนโดยใช้กระดาษสีตัดเป็นเส้นหรือเป็นลวดลาย แล้วนำมาพันรอบต้นเทียนหรือติดกับต้นเทียนเป็นกลุ่มลวดลายต่างๆ บางคุ้มก็จะใช้วิธีนำเทียนเล่มเล็กๆ มามัดรวมกันให้เป็นเทียนต้นใหญ่ หรือบางครั้งประหยัดเงินค่าเทียนก็จะใช้ไม้กลมๆ หรือไม้เสาทำเป็นแกนแล้วนำเทียนมัดรอบแกนเสา ตกแต่งด้วยกระดาษเพื่อไม่ให้เห็นเชือกที่มัด (วิธีนี้เริ่มขึ้นเมื่อมีเทียนสมัยใหม่และมีขายทั่วไปแล้ว จึงเป็นการประหยัดเวลาเพราะไม่ต้องต้มขี้ผึ้ง)


เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีประกอบกับมีการแข่งขันให้รางวัล คุ้มที่ตกแต่งต้นเทียนได้สวยงามแปลกแตกต่างไปจากต้นเทียนคุ้มอื่น จึงมักจะได้รับรางวัลชนะเลิศอยู่เสมอ การประดับตกแต่งต้นเทียนแบบใหม่ๆ จึงเกิดขึ้น นั่นคือจากเดิมที่ใช้กระดาษติดเป็นลวดลายต่างๆ ก็เปลี่ยนเป็นการใช้ขี้ผึ้งหล่อลวดลายจากแบบพิมพ์ก่อนแล้วจึงนำไปติดที่ต้นเทียน ซึ่งจะทำให้ต้นเทียนมีความสวยงามกว่าติดด้วยกระดาษ ต้นเทียนคุ้มที่ตกแต่งแบบนี้จึงมักจะได้รับรางวัลชนะเลิศอยู่เสมอๆ เช่นเดิมครับ เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายปีการตกแต่งแบบติดพิมพ์ด้วยเทียนก็ซ้ำซากจำเจ คุ้มที่อยากชนะจึงต้องหาวิธีตกแต่งต้นเทียนที่แปลกแตกต่างออกไป การแกะสลักลงไปในเนื้อต้นเทียนให้เป็นรูปและลวดลายต่างๆจึงเกิดขึ้น และคุ้มที่จัดทำแบบนี้ก็ได้รับชัยชนะ เมื่อการตกแต่งต้นเทียนให้สวยงามมีวิธีการแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการแบ่งประเภทต้นเทียนและให้มีรางวัลชนะเลิศแต่ละประเภทเกิดขึ้น ต้นเทียนในเวลาต่อมาจึงมีสองแบบ คือ แบบติดพิมพ์และแบบแกะสลักครับ


อย่างไรก็ตามทั้งสองแบบก็ยังเป็นแต่เพียงต้นเทียนอย่างเดียว ไม่มีองค์ประกอบอื่นมากมายนัก โดยเฉพาะฐานต้นเทียนก็เป็นฐานที่ทำขึ้นเพื่อไม่ให้ต้นเทียนล้มเท่านั้น คุ้มที่อยากชนะจึงต้องหาวิธีตกแต่งที่แตกต่างออกไปอีกเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้การตกแต่งฐานต้นเทียนให้แปลกแตกต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะการตกแต่งให้เป็นรูปลอยตัว ทำเป็นรูปของสัตว์ในวรรณคดีต่างหรือเรื่องราวทางพุทธประวัติ ในอากัปกริยาต่างๆก็เกิดขึ้น เช่นเดิมคุ้มที่จัดทำแบบนี้ก็ชนะ และถ้าคุ้มอื่นทำตามคุ้มที่อยากชนะในปีต่อไปก็จะต้องทำให้แปลกแตกต่างๆหรือไม่ก็ทำให้ใหญ่หรือให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นเรื่องราวเหตุการณ์ทางวรรณคดีหรือทางพุทธประวัติที่ครบสมบูรณ์ในต้นเทียนต้นเดียวหรือขบวนเดียว ผู้ชมดูแล้วเพลิดเพลิน ได้ความรู้ ได้อรรถรส อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบันครับ


ด้วยต้นเทียนและการแห่เทียนพรรษาของเมืองอุบลฯ มีมานานนับร้อยปี จึงมีวิวัฒนาการมากมายหลายแบบหลายมิติดังที่กล่าวมา จากการแห่เทียนธรรมดาที่เรียบง่ายเป็นการแห่เทียนที่มีการร้องรำทำเพลงและการแสดงต่างๆมากมายเข้ามาประกอบร่วม จากการรวมกลุ่มร่วมมือร่วมแรงของชาวบ้านคุ้มต่างๆ ในราคาถูกเป็นการจัดทำของกลุ่มชาวบ้านกลุ่มพ่อค้าและข้าราชการต่างๆที่มีราคาแพง จากการแบกหามบรรทุกใส่เกวียนเป็นการบรรทุกใส่รถ จากรถคันเล็กเป็นรถคันใหญ่ จากรถคันใหญ่เป็นรถหลายคัน จากรถคันสั้นเป็นรถคันยาว จากรางวัลเพียงไม่กี่บาทก็เป็นรางวัลหลายแสนบาท จากการดำเนินงานตามลำพังของจังหวัดอุบลฯ ก็เป็นการดำเนินงานร่วมกันกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จากที่ไม่มีนักท่องเที่ยวก็มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ วิวัฒนาการมากมายหลายแบบหลายมิติเช่นนี้ ด้วยเพราะความอยากให้ต้นเทียนมีความแปลกแตกต่าง มีความสวยงาม มีความยิ่งใหญ่และจุดมุ่งหมายสำคัญก็เพื่อชัยชนะและชื่อเสียงครับ


ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งจากภาคราชการ เอกชน และชาวบ้านคุ้มต่างๆ ในวันนี้ ประเพณีการแห่เทียนพรรษาของเมืองอุบลฯจึงนำมาซึ่งเกียรติยศ ชื่อเสียง ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้เมืองอุบลราชธานีจึงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและผู้คนทั่วไปทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจของชาวอุบลฯอย่างยิ่ง


หนึ่งในขบวนเทียนพรรษาที่สวยงามแปลกตา ด้วยสีสันและกลิ่นหอมของต้นเทียนและเครื่องประกอบทั้งหมด ต้นเทียนหอมของวัดเมืองเดช อ.เดชอุดม ผมพิสูจน์แล้วว่าหอมจริงๆครับ เพราะว่าทำจากเทียนหอมทั้งขบวน รู้สึกว่าปีนี้จะได้รางวัลที่สามด้วย


ลีลานางไหคนสวยร่ายรำตามจังหวะดนตรีโปงลางสนุกสุดตัวจริงๆครับ


ขบวนนี้ใช้เทียนสีเหลืองทองมองเห็นเด่นมาแต่ไกลเลยครับ


ทีมงานผู้สร้างคงต้องใช้ทั้งแรงกาย แรงใจและฝีมือบวกกับความปราณีตและใจเย็นเป็นอย่างสูง กว่าจะได้งานสวยๆแบบนี้ออกมาให้เราได้ชมกัน ขบวนนี้เป็นของวัดกลางครับ


ขบวนนี้ก็สวยงามไม่แพ้กัน แต่ผมก็ยังแยกประเภทไม่ออกอยู่ดีครับ ว่าขบวนไหนเป็นประเภทติดพิมพ์หรือประเภทแกะสลัก


สาวงามเมืองอุบลฯครับ


ขบวนนี้ใช้ชื่อว่า ยินดีต้อนรับประชาคมอาเซียนครับ


แม้อากาศจะค่อนข้างร้อนและมีฝนตกโปรยปรายบางเป็นจังหวะ แต่ก็ไม่อาจลบรอยยิ้มด้วยความภาคภูมิใจในหน้าที่ออกจากใบหน้าเธอได้


เมื่อลองพิจารณาดูใกล้ๆแล้ว สามารถเห็นถึงความละเอียดอ่อนช้อยของลวดลายที่ถูกสร้างและประกอบเข้าด้วยกันอย่างสวยงาม ผมว่าคงใช้เวลามานานนับแรมเดือนเลยทีเดียวกว่าจะลุล่วง เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบแล้ว คิดว่าขบวนนี้น่าจะเป็นพระพุทธเจ้าน้อยนะผมว่า



หอไตรกลางน้ำกลางน้ำของวัดทุ่งศรีเมืองครับ จากหลักฐานเล่ากันว่าเมื่อขุดสร้างหอไตรแล้ว ปรากฎว่าดินที่จะนำมาพูนหอพระบาทยังไม่พอ จึงได้ขุดสระอีก 1สระทางด้านทิศตะวันตกของวัด สระนี้เรียกว่าสระหนองหมากแซว เพราะมีต้นหมากแซวใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ข้างสระขุดลึกประมาณ 3 เมตรกว้างและยาวพอๆ กับสระหอไตร (ปลายสมัยหลวงปู่พระครูวิโรจน์รัตนโนบล เป็นเจ้าอาวาสได้ปูกระเบื้องซีเมนต์ที่ลานหอพระบาท และได้สร้างกำแพงแก้ว ล้อมรอบที่ซุ้มประตูด้านทิศเหนือ, ใต้และทิศตะวันตก ส่วนทางทิศตะวันออก ได้สร้างภายหลัง และได้สร้างให้มีขนาดใหญ่ที่สุด เพราะเป็นทางเข้าและอยู่หน้าหอพระบาท)เมื่อพระอริยวงศาจารย์ฯ สร้างหอพระพุทธบาทเสร็จแล้ว ก็ได้สั่งให้ญาคูช่าง สร้างหอไตรที่สระกลางน้ำ โดยมีจุดประสงค์ ใช้เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก คือ คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา และปรัชญาพื้นบ้าน รวมถึงตำราต่าง ๆ มากมาย ส่วนมากเป็นหนังสือใบลานจารึกด้วยอักษรธรรมและสมุดข่อย ไม่ให้แห้งและกรอบและเพื่อกันปลวก มิให้ทำลายพระไตรปิกฎให้เสียหาย (ก่อนที่พระราชรัตนโนบลมาปกครองวัด พระไตรปิฎกได้สูญหายไปมากแล้ว) เมื่อได้สร้างหอพระพุทธบาทและหอไตรกลางน้ำเสร็จแล้ว ก็ได้สร้างกุฎิเป็นที่อยู่ของพระภิกษุและสามเณร เพราะวัดนี้ตั้งอยู่ปลายทุ่ง ท่ามกลางเมืองอุบลราชธานี จึงได้ชื่อว่า ทุ่งศรีเมือง เป็นเหตุให้ทุ่งนากลางเมืองอุบลราชธานี ได้ชื่อว่า ทุ่งศรีเมืองตามไปด้วยครับ



หลังจากเราเดินชมต้นเทียนกันจนเหนื่อยจึงตกลงกันว่าจะเดินทางกลับ ก่อนกลับพวกเราแวะไปซื้อของฝากกันที่ร้านตองหนึ่ง ร้านของฝากชื่อดังของเมืองอุบลฯ ร้านไม่ใหญ่แต่คนรอซื้อเยอะมาก (คงอร่อยจริงๆ)แต่ก็หาที่จอดยากพอๆกัน ที่นี่ผมก็ซื้อของฝากนิดหน่อยฝากติดรถไปกับพี่สมปอง เพราะว่าวันนี้ผมไม่ได้กลับด้วย เราแยกจากกันที่ร้านของฝากนั่นเองนัดเจอกันอีกทีพรุ่งนี้เช้า 9 โมงที่บ้านพี่เค้า ส่วนผมก็โทรหาเพื่อนให้แวะมารับที่หน้าร้านของฝาก จากนั้นก็เถลไถลไปนั่งจิบกาแฟโบราณรออยู่ที่"ร้านโบราณจัง" ไม่ห่างจากร้านตองหนึ่งเท่าไหร่ กาแฟโบราณหอมหวานชื่นใจทานคู่กับขนมปังปิ้งหอมๆช่วยคลายร้อนได้ดีจริงๆ  ไม่นานนักคุณโอวาทแกก็มาถึงหน้าร้านพร้อมด้วยมอเตอร์ไซค์คู่ชีพ พาผมไซค์เลี้ยวลัดเลาะฝ่าขบวนต้นเทียนไปไม่นานก็ถึงบ้านของเขา หลังจากทักทายคุณแม่และญาติรวมถึงน้องอ้อยกับน้องกานต์หลานชายสุดหล่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เลยถือโอกาสรับประทานอาหารกลางวันแบบง่ายๆร่วมกับคุณแม่ที่นั่นซะเลย น้ำพริก ผักสด ผักต้ม ปลานึ่ง น้ำจิ้มแจ่ว ข้าวเหนียวร้อนๆ สุดยอดมากครับมื้อนี้ หลังจากอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว คุณโอวาทแกหาเรื่องก็พาผมออกทัวร์ชมบรรยากาศรอบที่พักของเขาทันที แต่จริงๆแล้วตั้งใจหาเรื่องออกมาเติมแอลกอฮอล์กันมากกว่า 55 (นี่ไงครับหลานผม หล่อมั้ย)



เริ่มกันที่บ้านของเจ้าเอ๊กซ์รุ่นน้องที่เคยอยู่ชลบุรีด้วยกัน แต่ไม่เจอครับเพราะว่าน้องเค้าไปช่วยงานแห่เทียนอยู่เหมือนกัน ที่บ้านของเจ้าเอ๊กซ์นั้นก็ทำงานประเภทเครื่องปั้นดินเผาครับ จำพวกกระถางรองขาโต๊ะ ครกเป็นส่วนใหญ่ มาถึงนั่งได้ไม่นานฝนก็เทลงมาอย่างหนักทีเดียว งานเข้าซะแล้วครับไปไหนไม่ได้เอาไงดีหว่า ตกลงว่าคุณโอวาทแกก็ใจดีขันอาสาฝ่าสายฝนไปจัดหาเครื่องดื่มแก้หนาวมาจัดกันซะที่นั่นเลย กว่าฝนจะหยุดกว่าเจ้าเอ๊กซ์จะกลับมาถึงก็หมดไปครึ่งโหลแล้ว หลังจากฝนหยุดพวกเรานัดหมายกับเจ้าเอ๊กซ์ให้ไปกินข้าวกันที่บ้านคืนนี้ ส่วนพวกเราก็ออกเดินทางกันต่อครับแต่ไม่ได้ถ่ายรูปแล้วเพราะฝนยังตกปรอยๆอยู่ ก็เลยเลือกแวะไปดูที่นาของคุณโอวาทเค้า และที่นี่เองคุณโอวาทแกไปได้ปลาช่อนนามาตัวนึงเกือบเท่าแขนสำหรับกับแกล้มเย็นนี้ หลังจากขับรถหิ้วปลาช่อนเที่ยวกันแถวๆนั้นสักพักก็กลับบ้านกันตอนมืดๆพอดี โอวาทแกก็ทำกับแกล้มไปส่วนผมก็นั่งกินไปรอปลาช่อนต้มยำไปไม่นานกับแกล้มก็เสร็จเรียบร้อย เจ้าเอ๊กซ์ก็มาถึงพอดีแต่ไม่กินเบียร์เพราะเข้าพรรษาอยู่ เหลือผมสองคนกินไปคุยกันไปจนเกือบๆเที่ยงคืนจึงอาบน้ำอาบท่าแยกย้ายกันไปพักผ่อน บนที่นอนอันแสนอบอุ่นที่น้องอ้อยเธอจัดมาให้ หลับสบายท่ามกลางสายฝนที่ตกพรำๆทั้งคืน 
สรุปแล้ว งานประเพณีการแห่เทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี ประจำปี 2556 ผมว่าทีมงานก็จัดได้อย่างยิ่งใหญ่ สวยงามเลยทีเดียวครับ (ตามความรู้สึกของผมนะ) มีข้อท้วงติงเพียงนิดหน่อยครับ ในระหว่างขบวนแห่กำลังดำเนินไป ฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจคอยพรมมาเป็นระยะๆ ยิ่งทำให้อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวไปใหญ่ สงสารผู้ที่อยู่ในขบวนแห่ครับจะหลบจะหนีก็ไม่ได้อย่างไรก็ต้องทน และขบวนเทียนบางขบวนมีความสูงมากกว่าสายไฟที่พาดข้ามถนน ทำให้ทีมงานต้องคอยใช้ไม้ค้ำเพื่อให้ขบวนเทียนผ่านไปได้ ตรงนี้เองครับที่ทำให้เสียบรรยากาศในการชมและการถ่ายภาพของบรรดาตากล้องทั้งหลาย ซึ่งปัญหาตรงนี้เองทางคณะผู้จัดงานควรจะต้องทราบและแก้ทำการแก้ปัญหาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่อย่างไรก็ตามทุกๆอย่างผ่านไปได้ด้วยดี โดยรวมแล้วผมรู้สึกประทับใจครับที่ได้มีโอกาสร่วมอยู่ในขบวนแห่แบบใกล้ชิด ถ้ามีโอกาสปีหน้าก็ยังอยากกลับมาร่วมงานอีกครั้งครับ

สุดท้ายต้องขอขอบคุณข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ของการแห่เทียนพรรษาเมืองอุบลฯจากเวปไซต์  www.ubonguide.org ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ รวมทั้งคุณพี่สมปองและครอบครัวที่ให้การดูแลผมเป็นอย่างดีตลอดการเดินทาง ครอบครัวบุญสุขโดยคุณโอวาทและน้องอ้อยรวมทั้งหลานกานต์ด้วยครับที่เป็นภาระเรื่องอาหารการกินและที่หลับที่นอนในเมืองอุบลฯตลอดครึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน และที่ลืมไม่ได้ก็ต้องขอบคุณผู้อ่านทุกๆท่านที่ติดตามกันมาตั้งแต่ต้นจนจบตอน ติดตามกันต่อไปใน"เที่ยวหน้าฝน@อุบลราชธานี ตอน ตลาดชายแดนแดนช่องเม็ก โขงเจียม"ครับ...