หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เที่ยวหน้าฝน@อุบลราชธานี ตอน ตลาดชายแดนช่องเม็ก โขงเจียม

ตีห้าครึ่งของเช้าวันที่ 24 กรกฏาคม 2556 ผมตื่นนอนมาด้วยอาการแฮงค์นิดหน่อย ผลพวงจากการจัดหนักเมื่อคืน หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว คุณโอวาทแกก็ตื่นมานึ่งข้าวอุ่นกับข้าวอะไรไปตามเรื่องของแก ส่วนผมก็นั่งชมบรรยากาศยามเช้าพร้อมด้วยจิบเบียร์เย็นๆที่ท่านเจ้าบ้านเก็บไว้ให้อีกขวด ค่อยสบายหายปวดหัวหน่อย  เวลาล่วงเลยไปสักเกือบ 7 โมงเช้า สมาชิกภายในบ้านเริ่มทยอยกันออกไปทำงาน หลังจากขอบคุณและร่ำลาท่านเจ้าของบ้านเป็นที่เรียบร้อย พวกเรา(ผมกะโอวาท)ก็เริ่มออกเดินทางเหมือนกันโดยรถยนต์ฮอนด้าแอคคอร์ดรุ่นใหม่ล่าสุด (เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว) ใช้เบียร์เป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนเมื่อออกมาจากบ้านได้นิดหน่อยก็เริ่มต้นกระป๋องแรกกันแล้ว พวกเราเลือกใช้เส้นทาง ตาลสุม-ศรีเมืองใหม่ ลัดเลาะผ่านทุ่งนาที่ได้น้ำฝนจนดูเขียวขจีไปทั่วท้องทุ่งที่เราขับรถผ่าน อากาศยามเช้าค่อนข้างสดชื่น ไร้มลพิษเปิดกระจกหายใจได้เต็มปอด ชีวิตในท้องทุ่งนากำลังเริ่มต้น บ้างก็ไถ บ้างก็ดำ บ้างก็ตกปลาไปตามเรื่อง พวกเราขับรถไปเรื่อยๆไม่รีบร้อน เบียร์กระป๋องแรกเริ่มพร่อง เราแวะจอดกันอีกทีระหว่างทางถามแม่ค้าว่ามีกาแฟขายมั้ย (แต่ตั้งใจไปซื้อเบียร์) เรียบร้อยก็ออกเดินทางต่อพอกระป๋องสองใกล้หมดก็หาร้านค้าซื้อมาตุนไว้อีก กับแกล้มก็หาเอาแถวๆนั้นแหละครับ ประเภทปลาเล็กปลาน้อยปรุงเครื่องแล้งปิ้งไฟหอมๆ เข้ากันได้ดีกับสิ่งที่ถืออยู่ในมือจริงๆขอบอก
เวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงเศษๆเบียร์กระป๋องสามเหลืออีกนิดหน่อย พวกเราก็มาถึงทางแยกเข้าอำเภอศรีเมืองใหม่  เราเลือกเลี้ยวซ้ายกลับไปทางอำเภอตระการพืชผล ประมาณสัก 10 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายอีกทีเข้าจอดที่หน้าบ้านพี่สมปองเกือบๆ 9 โมงเช้าใกล้เคียงกับเวลานัดหมาย เด็กๆไปโรงเรียนกันหมดแล้ว พี่สมปองและครอบครัวกำลังล้อมวงทานมื้อเช้ากันอยู่พอดี พวกเราไม่รีรอที่จะเข้าร่วมวงแบบไม่ต้องรอให้เรียกซ้ำสอง อาหารแบบง่ายๆน้ำพริก ผักสดและผักนึ่ง แกงและหมกหน่อไม้ มื้อนี้เมนูเห็ดมาเด่นเป็นพิเศษทั้งนึ่ง เสียบไม้ปิ้งไฟหอมๆ และที่เป็นพระเอกของงานนี้ก็คือ เห็ดถ่านครับ ดำสนิทเหมือนถ่านจริงๆ นึ่งสุกจิ้มกับแจ่วแบบท้องถิ่นอร่อยสุดๆ พี่สมปองแกว่าถ้าเรามาไม่ตรงกับหน้าของมันก็ไม่มีกินนะเออ ถือว่าเป็นโชคดีที่ได้กินของแปลกๆและหากินได้ยากครับ หลังจากมื้ออาหารเช้าเรียบร้อย นั่งย่อยข้าวสนทนากันอีกสักพัก คุณโอวาทแกก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ (ต้องขอขอบคุณครอบครัวบุญสุขไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งครับ สำหรับ การต้อนรับที่อบอุ่น อาหารอร่อยๆ ที่พักสบายตามอัตภาพและยังกรุณามาส่งให้จนถึงที่อีกด้วย) 


หลังจากรอผมอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เรียบร้อย พวกเรา(พี่สมปอง ทิดเซียง คุณเมตตา คุณเยาว์และผม ไม่มีเด็กๆร่วมขบวนเหมือนเคยรู้สึกเงียบๆเหมือนกัน) ก็พร้อมออกเดินทางกันต่อ เป้าหมายของเราวันนี้อยู่ที่ตลาดการค้าชายแดนช่องเม็กและปิดท้ายด้วยโขงเจียมครับ BT50 Pro คันเก่งพาพวกเรามุ่งหน้าไปตามเส้นทางหมายเลข 2134 และไปต่อด้วยเส้นทาง 2173 รวมระยะทางประมาณ 60กว่ากิโลเมตรกับระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดหน่อยพวกเราก็มาถึงบริเวณด่านชายแดนช่องเม็กกันแล้วครับ ก่อนอื่นเราต้องทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวกันก่อน (ผมพกพาสปอร์ตไปด้วยแต่ว่าคนอื่นๆไม่มีก็เลยตกลงทำให้เหมือนๆกันเพื่อความสะดวก) ขั้นตอนง่ายๆไม่ยุ่งยากครับแค่ถ่ายบัตรประชาชนคนละ2-3ใบ เพื่อใช้ในการทำเรื่องผ่านแดน บัตรผ่านแดนชั่วคราวนี้มีกำหนดเวลาท่องเที่ยวในลาวได้ 3 วัน 2 คืน และหากจะนำรถเข้าไปทางฝั่งลาว ต้องนำรถไปทำพาสปอร์ตรถที่สำนักงานขนส่งจังหวัด ผู้ขับขี่จะต้องนำสำเนาใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ และสำเนาใบเสียภาษีรถยนต์ ไปยื่นเรื่องขออนุญาตด้วย เวลาทำการของด่านชายแดนช่องเม็ก เปิดทำการเวลาแปดโมงเช้าปิดหกโมงเย็น ส่วนค่าทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวคนละ 30 บาท (ขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลจากอินเทอร์เนท)ในส่วนหน้าของด่านชายแดนผมไม่ได้ถ่ายไว้เพราะยุ่งๆกับการรับโทรศัพท์อยู่เลยต้องขอยืมเค้ามาให้ชมครับ


พอผ่านขั้นตอนจากด่านขาออกประเทศไทย และด่านขาเข้าของประเทศลาวเรียบร้อย ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนักด้วยความที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนบางตามาใช้บริการ เดินลอดอุโมงค์ไปไม่นานก็จะเข้ามายืนอยู่ในดินแดนของลาวเต็มตัว สิ่งแรกที่สะดุดตาก็คือ ร้านค้าปลอดภาษีดาวเรือง ตั้งอยู่บริเวณซ้ายมือตอนที่เดินเข้าไป ที่นี่พวกเราก็ได้แวะทานกาแฟ และตากแอร์เย็นๆพร้อมกับเลือกซื้อของฝากประเภทขนมขบเคี้ยวจากที่กันพอสมควร ตอนก่อนที่จะข้ามกลับมาฝั่งไทย


สภาพทั่วไปเท่าที่มองเห็น สองข้างทางกำลังอยู่ในช่วงก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่ ดังภาพทางด้านขวามือที่ล้อมรั้วเอาไว้ คาดว่าลาวคงเตรียมตัวไว้ต้อนรับประชาคมอาเซียนแน่นอน (ผมเดาเอาเอง) พ่อค้าแม่ค้าก็มีไม่เยอะนัก นักท่องเที่ยวก็ดูบางตา คงเป็นเพราะยังไม่ถึงเทศกาลท่องเที่ยวก็เป็นได้ อากาศค่อนข้างร้อนครับ พวกเราเดินชมอยู่บนถนนสักพักก็หลบลงไปเดินในร้านค้าที่อยู่ด้านล่างติดกับถนนนั่นเอง ผิดคาดครับด้านล่างร้อนและอบอ้าวกว่าด้านบนซะอีก เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ก็จะปลูกเป็นเพิงกึ่งถาวรติดๆกันไป รวมทั้งการระบายอากาศที่ไม่ค่อยดีทำให้รู้สึกอึดอัดพอสมควร


พวกเราเลือกเดินชมกันไปเรื่อยๆ บรรดาแม่ค้าพ่อค้าร้องเชิญชวนให้เข้ามาชมเป็นระยะๆ สินค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็น จำพวกผ้าทอทั้งหลาย ผ้าไหมผ้าถุง ผ้าห่ม ผ้าพันคอ เสื้อผ้า ฯลฯ (แท้ไม่แท้พิจารณากันเอาเอง ตาดีได้ตาร้ายเสียครับ) รองเท้าแบรนด์เนม กระเป๋าก๊อปปี้แบรนด์ดังๆสนนราคาแล้วแต่ความสามารถในการต่อรอง สินค้าจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สร้างความบันเทิงส่วนตัว กล้องถ่ายรูป ฯลฯ (อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัวและความสามารถในการเลือกดูและต่อรองครับ) และที่เห็นมากที่สุดก็คือ โทรศัพท์มือถือครับ ทุกรุ่นทุกยี่ห้อที่กำลังอยู่ในความนิยมหรือเพิ่งออกมาใหม่ๆ มีวางขายอยู่ที่นี่เกือบทั้งหมด (ไอโฟน5 ราคา500-1000 เอส4 นี่ไม่เกิน2000 รับประกันก่อนข้ามด่าน กลับบ้านแล้วตัวใครตัวมัน) เท่าที่สังเกตุดูสินค้าส่วนใหญ่ก็จะมาจากประเทศจีนเสียเป็นส่วนใหญ่ ราคาค่อนข้างถูก(ถ้ากล้าต่อ ส่วนใหญ่คนขายก็จะกล้าให้เสียด้วย) แต่คุณภาพกรุณาอย่าถามหา อ้อ !ลืมไปที่นี่ใช้ได้ทั้งเงินบาทและเงินกีบ เงินดอลฯ ยินดีต้อนรับทุกประเภทครับ


และหนึ่งในสินค้าขายดีติดอันดับ นี่เลยครับ เหล้า เบียร์ บุหรี่ ทุกกลิ่นทุกสี ทุกยี่ห้อ ที่มีบนโลกใบนี้ (อาจจะเวอร์ไปหน่อย) สนนราคาก็ไม่แพงครับ ราคามีตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไปอยู่กับความสามารถในการต่อรองเช่นกัน แต่เรื่องรสชาด ความสะอาดและความปลอดภัยไม่รู้จะหาใครมารับประกัน บุหรี่ข้างในอาจจะขึ้นรา เหล้าในขวดก็อาจจะปลอมปน พวกผู้ชายอย่างเราๆได้แต่ถามเอาความสนุกสนานเสียมากกว่าจะคิดซื้อ สรุปว่าเราก็ไม่ได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับมาลองกันซักขวด เพราะไม่แน่ใจในเรื่องของความปลอดภัยเท่าใดนัก


ในที่สุดหลังจากเดินวนไปวนมาจนรู้สึกร้อนและเหนื่อย (ผลพวงจากเมื่อคืนและเมื่อเช้า) ผม พี่สมปองและทิดเซียง เลือกที่จะนั่งพักที่หน้าร้านแห่งหนึ่งเกือบๆสุดแนวร้านค้าทั้งหมด ส่วนสองสาวยังเลือกที่จะไปช็อปกันต่อ พี่สมปองแกก็รู้ใจรีบจัดหาเครื่องดื่มดับกระหายคลายร้อนมาให้ผมและทิดเซียงคนละหนึ่งกระป๋องยาว ส่วนตัวแกเองดื่มเป๊บซี่ภาคภาษาลาว เบยลาวหรือเบียร์ลาว หน้าตาคล้ายๆช้างดราฟท์บ้านเรา รสชาดดีไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยังจำติดลิ้นเมื่อครั้งลุยเดี่ยวเที่ยวลาวเหนือเมื่อปีที่แล้ว หมดไปคนละหนึ่งยังไม่อยู่ต้องต่ออีกคนละกระป๋องที่นี้สบายหายปวดเมื่อย พอสองสาวกลับมาพร้อมหน้าพวกเราก็ออกเดินทางกลับกันครับ คราวนี้เราเลือกเดินไปตามถนนด้านบน เพื่อชมร้านค้าด้านบนกันดูบ้าง


ร้านค้าด้านบนก็ขายสินค้าคล้ายๆกับด้านล่างแหละครับ แต่จะแตกต่างกันตรงที่ตัวร้านค้าจะมั่นคงน้อยกว่า คล้ายๆว่าเตรียมพร้อมที่จะรื้อถอนได้ทุกเมื่อ ร้านที่เห็นนี้ก็เป็นร้านขายสินค้าที่ระลึกครับ สินค้าประเภทเสื้อยืดพิมพ์ลายภาษาลาว หมวก พวงกุญแจ กระเป๋าสตางด์ปักลายเล็กๆน่ารัก ฯลฯ เหมาะสำหรับเป็นของฝากมากกว่าเอาไปใช้งาน ที่นี่ผมก็ได้เสื้อยืดพิมพ์ลายอักษรลาวมาสองตัว ราคาตัวละ 100 บาท สำหรับใช้เป็นหลักฐานการเดินทางทริปนี้


เครื่องดื่มบำรุงกำลังประเภทต่างๆก็มีวางจำหน่ายเยอะแยะไปหมด ทั้งชนิดน้ำ ชนิดผงดองเหล้า ที่ทำมาจากสมุนไพรรากไม้ต่างๆ ที่ผู้ขายคุยฟุ้งว่ามีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูกำลังเป็นหลัก รวมถึงชนิดที่ดองสำเร็จแล้วก็มีเช่นกัน ในภาพที่พี่สมปองแกถือเป็นยาดองเหล้ามีงูขดอยู่ก้นขวด (ไม่รู้ว่างูจริงหรือปลอมเหมือนกัน) ดองตะขาบ แมงมุม ฯล แค่เห็นยังหวั่นๆเลยครับอย่าว่าแต่ซื้อมากินเลย 555 ประเภทที่ดองใส่รากไม้ต่างๆก็มีเยอะเหมือนกัน สรรพคุณก็คล้ายๆกัน เน้นเรื่องบนเตียงเป็นหลัก ไอ้แบบนี้หน้าตาค่อยดูดีหน่อย แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็ไม่ได้ซื้อมาเช่นกัน สนนราคาก็มีตั้งแต่ 100 บาทเป็นต้นไปแปรผันตามสรรพคุณของตัวยาที่บรรจุอยู่ในขวด


นี่เลยครับเจ้าตัวนี้เอง นกกรงหัวจุกของฝั่งลาว ที่เพื่อนผมอยากได้มากๆ มันบอกว่าเสียงดีกว่านกไทย (ตรงไหนก็ไม่รู้ของมัน) แต่ผมก็ไม่กล้าซื้อมาฝาก ไม่รู้ว่าสามารถนำข้ามกลับมาฝั่งไทยได้หรือปล่าว ราคาก็เลยไม่ได้สอบถามดูเหมือนกัน ใครมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างช่วยแชร์หน่อยครับ


ในบรรดาสินค้าดาวเด่นก็เห็นจะไม่พ้น พืชผักพื้นบ้านจำพวกเห็ดทั้งหลายนี่แหละครับ แม่ค้าชาวบ้านนำมาวางจำหน่ายกันเยอะมาก เห็ดที่เห็นในรูปแม่ค้าลาวบอกว่าเป็นเห็ดปลวก แต่พี่สมปองแกว่าหน้าตามันไม่เหมือนกับของที่บ้านแก ก็เลยไม่ได้ซื้อมาลอง


ส่วนผักชนิดนี้แถวบ้านผมเรียกว่าผักสารภีครับ นำมาลวกหรือกินสดๆจิ้มกับน้ำพริกก็อร่อยดีเหมือนกัน ส่วนทางภาคอีสานเรียกผักกระจอง แม่ค้าจะเก็บส่วนดอกอ่อนๆของมันเอามาวางขาย ราคาไม่แพงครับ 5 บาท 10 บาทเท่านั้นเอง


เจ้าตัวนี้ทางฝั่งลาวเค้าเรียก กบ แต่ผมว่าน่าจะเรียกเขียดหรือกบน้อยจะดีกว่า พี่สมปองว่าเอาไปทำหมกปิ้งหรือแกงอ่อมอร่อยมาก แต่ผมดูแล้วว่าน่าเอาไปปล่อยเอาบุญ มากกว่าจะเอาไปทำอะไรกิน


ขนมปังฝรั่งเศสหรือบาแกต ชนิดแข็งตีหัวแตกมีวางขายทั้งแบบเป็นขนมปังเฉยๆและแบบที่ใส่ไส้ต่างๆ ตามต้องการ แม่ค้าเค้าเรียกว่าแซนวิช สนนราคา 10000-15000 กีบประมาณ 40-50 บาทไทยโดยประมาณ คุณเมตตาแกทำท่าหยิบมาถ่ายรูปเล่นๆ แม่ค้าแกก็เป็นใจเล่นด้วยซะอีก


หน้าฝนแบบนี้ หน่อไม้ก็มีวางจำหน่ายเยอะเหมือนกันครับ มีทั้งแบบสด แบบต้ม แบบที่ต้มแกะเปลือกออกแล้วแพคใส่ถุงให้เรียบร้อยก็มี สนนราคาว่ากันไปตามความสามารถในการต่อรองเช่นกัน แต่พวกเราไม่ได้ซื้อ เพราะว่าทุกมื้ออาหารของเราก็กินกันจนหน้าจะเป็นหน่อไม้อยู่แล้วเหมือนกัน


หลังจากนั้นพวกเราก็แวะซื้อของฝากประเภทขนมขบเคี้ยวบางส่วน (ขอแนะนำว่าถ้าเป็นของกิน ประเภท เหล้า เบียร์ ขนมมของฝากต่างๆควรจะซื้อกับร้านนี้จะมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยมากกว่าร้านค้าด้านในครับ) และนั่งจิบกาแฟเย็นๆคลายร้อนกันที่ร้านค้าปลอดภาษีดาวเรืองสักครู่ใหญ่ ๆ  เราจึงออกเดินทางข้ามแดนกลับฝั่งไทยกันครับ ขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากเหมือนขาเข้ามา ถ้าเราไม่มีสิ่งของต้องห้ามหรือสิ่งของผิดกฏหมายก็ไม่ต้องกังวลอะไร ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยพวกเราก็กลับมายืนอยู่ในฝั่งไทยซะแล้ว 555 ที่ด้านหน้าด่านบริเวณลานจอดรถฝั่งไทย ก็มีร้านค้าคล้ายๆกับที่ในฝั่งลาวเหมือนกัน สินค้าส่วนใหญ่ก็คล้ายกัน ราคาก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก ผมว่านะถ้าเราไม่ซีเรียสอะไรนะ เราก็จะสามารถหาซื้อสินค้าเหมือนๆกันได้โดยแทบไม่ต้องข้ามฝั่งไปในลาวเลยก็เป็นได้
หลังจากเก็บข้าวของเข้าที่เรียบร้อยพวกเราออกเดินทางกันต่อ เป้าหมายต่อไปของเราคือโขงเจียมครับ พี่สมปองขับรถย้อนกลับมาตามเส้นทาง 2173 ต่อด้วยเส้น 2134 เส้นเดิมแล้วแยกขวาไปตามเส้นทาง 2112 ประมาณสัก 4 กิโลเมตร ก็ถึงจุดหมายปลายทาง โขงเจียมแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี พวกเรามาถึงที่นี่ประมาณ 3-4 โมงเย็น ฝนกำลังตกปรอยๆ ในแม่น้ำโขงบริเวณที่เป็นแม่น้ำสองสี จุดขายของที่นี่ไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่เลย อาจเป็นเพราะสายฝนที่ตกปรอยๆอยู่และกระแสน้ำในแม่น้ำโขงที่ดูเหมือนกำลังเชี่ยวพอสมควร พวกเราก็เลยตกลงกันว่าจะไม่ลงเรือไปชมเหมือนกันเพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ก็เลยเลือกที่จะขับรถวนเที่ยวชมเท่าที่ทำได้แค่นั้นก็พอ (ผมไม่ได้ถ่ายรูปที่นี่ไว้เพราะสภาพอากาศไม่อำนวย ต้องขอยืมภาพสวยๆจากอินเทอร์เนทมาประกอบเรื่องเหมือนเดิมครับ)


พี่สมปองขับรถพาพวกเราวนเที่ยวอยู่พักใหญ่ นักท่องเที่ยวจำนวนบางตา ท้องฟ้าหม่นๆไม่ค่อยแจ่มใส ชวนให้น่านั่งนอนมากกว่าการท่องเที่ยว พวกเราเลยสรุปกันว่าขับรถไปหาซื้อปลาคังสดๆจากแม่น้ำโขง สำหรับมื้อเย็นนี้กันก่อนกลับจะดีกว่า ว่าแล้วพี่สมปองแกก็พาเราแวะไปที่ร้านขายปลาสดชื่อดังแห่งหนึงในย่านนี้ ชื่ออะไรผมจำไม่ได้ ขายปลาจากแม่ม้ำโขงอย่างเดียว พี่สมปองถามหาปลาคังสด เจ้าของร้านแกพาไปดูในตู้แช่ มีปลาคังอยู่หลายตัวเหมือนกัน แต่แกว่ามันไม่ค่อยสดเ่ท่าไหร่นักเพราะเรือออกไม่ค่อยได้ น้ำมันแรง พี่สมปองเลยเลือกตัวที่ใหม่ที่สุดมา 2 ตัวเขื่องๆ สนนราคาเกือบ 500 บาท (ขอบคุณภาพประกอบสวยๆจากอินเทอร์เนทเช่นเคย)


สมตามความปรารถนา ปลาคังสดๆ2ตัวสำหรับมื้อเย็น พวกเราออกเดินทางจากโขงเจียมตอนเกือบๆ 5 โมงเย็น ขับกลับมาตามเส้นทางเดิม เลี้ยวขวาเข้าเส้นทาง 2134 ยิงตรงไปอำเภอศรีเมืองใหม่ สมาชิกส่วนใหญ่หลับไปแล้วคงเป็นเพราะเพลียแดด คงเหลือผมกับพี่สมปองคุยกันมาเบาๆระหว่างเดินทาง ใช้เวลาไม่นานเท่าขามา พวกเราก็กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ 
กลับมาถึงบ้านพี่สมปองและทิดเซียงพากันเข้าครัวไปประกอบอาหารมื้อเย็น ส่วนผมกับหลานๆที่กลับมาจากโรงเรียนแล้วนั่งเล่นกันอยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน พร้อมด้วยจิบเครื่องดื่มเย็นๆเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายไปเรื่อยๆ ทิดเซียงแอบออกจากครัวแวะเวียนมาเติมดีกรีเป็นระยะๆ ไม่นานนัก เมนูเด็ดจานแรกก็พร้อมเสิร์ฟแล้วครับ ปลาคังลวกจิ้ม ปลาคังสดๆ หั่นเป็นชิ้นบางๆพอคำ ลวกสุกพอหวานๆนุ่มชุ่มลิ้น จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรของทิดเซียงเข้ากันดีเหมือนปี่กะขลุ่ย ไม่ว่าจะกินเล่นๆเป็นกับแกล้มหรือจะกินเป็นงานเป็นการ ทานกับข้าวสวยร้อนๆก็อร่อยอย่าบอกใคร


เย็นวันนี้พวกเราใช้เวลาในวงอาหารยาวนานเป็นพิเศษกว่าทุกๆวัน คงเป็นเพราะว่านี่คือมื้อท้ายสุดที่พี่สมปองและครอบครัวจะได้ทานข้าวร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา หลังจากมื้ออาหารเช้าวันพรุ่งนี้เราคงออกเดินทางกลับชลบุรีกันในตอนสายๆ ข้าวปลาอาหารถูกลำเลียงมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่ ปลาคังลวกจิ้ม ต้มยำปลาคังร้อนๆซดน้ำคล่องคอ น้ำพริกแจ่มผักลวก ผักสดและเห็ดนาๆชนิด ห่อหมกหน่อไม้ แหนมหมูทำเองและไข่เจียวสำหรับเด็กๆ กินกันไปคุยกันไปในหลายๆเรื่องราว เพื่อนบ้านหลายๆท่านแวะมาเยี่ยมเยือนและให้การต้อนรับเป็นอย่างดี จนไม่รู้สึกว่าผมอยู่ไกลจนเกือบสุดชายแดนไทย ต้องขอขอบคุณในมิตรไมตรีที่มีให้คนเดินทางต่างถิ่นอย่างผมไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ 


หลังจากมื้ออาหารเย็นอันยาวนานจบลงเรียบร้อย ก่อนที่พวกเราจะเข้าพักผ่อนคืนสุดท้ายที่นี่ พี่สมปองและน้องเมตตาเริ่มเตรียมตัวบรรจุข้าวของสัมภาระต่างๆในกล่องและถุงดำ เพื่อป้องกันฝนที่อาจจะตกในระหว่างทาง ผมเองก็เช่นกัน หลานสาวทั้งสองนั่งมองดูอยู่ใกล้ๆ แต่เงียบเสียงไปถนัดใจ พวกเขาคงนึกรู้ในใจว่าวันพรุ่งนี้ พ่อกับแม่ต้องเดินทางกลับเพื่อมาทำงานอีกแล้ว ความเงียบเข้าปกคลุมแทนที่ความร่าเริงและเสียงเจื้อยแจ้วของสาวน้อยทั้งสอง บรรยากาศเงียบเหงาไปถนัดใจ แม้ผมจะรู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องเกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย จริงๆ
และในท้ายที่สุดนี้ ผมต้องขอขอบคุณ พี่สมปอง คุณเมตตาและครอบครัวรวมถึงเพื่อนบ้านทุกๆท่าน ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและให้การดูแลเป็นอย่างดีตลอดเวลาที่ผมพักอยู่ที่นี่ แม้จะไม่ใช่บ้านที่ใหญ่โต ไม่สะดวกสบายนักแต่ด้วยมิตรภาพ ความรักและความอบอุ่นของผู้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านน้อยหลังนี้ต่างหากที่ทำให้บ้านหลังนี้ดูยิ่งใหญ่และสวยงามมากขึ้นกว่าสื่งที่สายตามองเห็น เป็นอีกทริปหนึ่งที่ดึงเอาความประทับใจของผมออกไปจนเกือบหมด แม้จะจบแบบเศร้าด้วยการจากลา แต่ว่าสักวันเราคงได้เจออีกกันแน่ๆ และที่ลืมเสียไม่ได้ก็คือผู้อ่านทุกๆท่าน ที่ติดตามกันตั้งแต่เดินทางออกจากชลบุรี ตามกันไปเที่ยวผาแต้ม เสาเฉลียง น้ำตกสร้อยสวรรค์ งานแห่เทียนพรรษาเมืองอุบลฯ ตลาดช่องเม็กและจบแบบครึ่งๆกลางที่โขงเจียม แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้า ส่วนจะเป็นที่ไหน อย่างไรติดตามกันต่อไปนะครับ ขอบคุณครับ...