หน้าเว็บ

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

คนเดียวเที่ยวลาวเหนือ ตอน หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก 2

                                                     Inside หลวงพระบาง


วันที่ 26 ตุลาคม 2555 เวลาประมาณ 6.00 น.หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยเตรียมกล้องออกจากโรงแรม เดินไปตามถนนเส้นเดิมเมื่อวาน บรรยากาศตอนเช้านี้กับเมื่อเย็นวานต่างกันลิบลับ ร้านรวงยังไม่เปิดให้บริการ   ถนนหนทางโล่งและเงียบสงบ อากาศค่อนข้างเย็นสบายเหมาะแก่การสูดลมหายใจให้เต็มปอด ผมเดินเลียบยอดภูสีด้านติดแม่น้ำขามไปแบบไม่รีบร้อน  เดินผ่านบ้านเรือนในรูปแบบดั้งเดิมปะปนอยู่กับบ้านเรือนที่ก่อสร้างแบบสมัยใหม่อย่างไม่น่าเกลียด  ชาวบ้านบางส่วนเริ่มเตรียมกระติ๊บข้าวเหนียวมานั่งรอใส่บาตรตามทางที่พระภิกษุและสามเณรจะเดินผ่านกันมากพอสมควร ไฮไลท์ของเช้านี้อยู่ที่ถนนเส้นกลางครับ ที่นั่นจะมีกิจกรรมยอดฮิตของหลวงพระบางคือ การตักบาตรข้าวเหนียว ในตอนเช้าของทุกๆวัน ชาวหลวงพระบางรวมทั้งนักท่องเที่ยว พระสงฆ์สามเณรและบรรดาพ่อค้าแม่ค้าล้วนมาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ครับ


ผมเดินมาถึงบริเวณที่มีการตักบาตรข้าวเหนียว ด้านหน้าจะคราคร่ำไปด้วยบรรดาแม่ค้ามานำเสนอขายข้าวเหนียวสำหรับใส่บาตรให้กับบรรดานักท่องเที่ยวที่ไม่ได้เตรียมข้าวเหนียวมาเอง  สนนราคาก็ไม่แพงประมาณ 15000-20000 กีบ แต่ผมไม่ได้ซื้อครับเพราะตั้งใจมาถ่ายรูปอย่างเดียว นักท่องเที่ยวชาวไทยค่อนข้างเยอะครับ  เพราะนี่คงเป็นอีกกิจกรรมที่ถูกบรรจุไว้ในโปรแกรมท่องเที่ยวหลวงพระบางอย่างขาดไม่ได้ เสียงไกด์ทัวร์เรียกลูกทีมให้มารอใส่บาตรและเตรียมถ่ายรูปดังเซ็งแซ่ ประมาณ 6.30 โดยประมาณพระภิกษุและสามเณรเริ่มต้นเดินบิณฑบาตรตามเส้นทางจากปลายถนนมาเรื่อยๆ  พระและเณรที่นี่เยอะมากครับ คงเป็นเพราะที่หลวงพระบางเองมีวัดจำนวนมาก คะเนดูน่าจะมีมากถึง 200 องค์ บิณฑบาตรมาเรื่อยๆไม่ขาดสาย ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะนั่งรอใส่บาตรอยู่ทางด้านท้ายๆปลายถนนครับ  ส่วนวิธีการใส่บาตรกระทำโดยการบิข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนเล็กๆ  พอใส่ไปจนเกือบหมดก็จะแบ่งเป็นก้อนเล็กๆก้อนหนึ่งวางทิ้งไว้บนกำแพงบ้าง นัยว่าเป็นการแบ่งให้นกกาได้อาศัยกินบ้างเป็นการทำทานไปในตัว  แต่ในบริเวณที่ผมยืนอยู่จะเป็นโซนของนักท่องเที่ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ


ประมาณครึ่งชั่วโมงการบิณฑบาตรก็สิ้นสุดลง  เสียงไกด์ทัวร์เชิญลูกทัวร์ขึ้นรถเพื่อจะไปชอปปิ้งกันต่อที่ตลาดเช้า ผมก็เลยสอบถามเส้นทางจากแม่ค้าขายข้าวเหนียวเจ้าหนึ่งได้ความว่าให้เดินย้อนกลับไปตามเส้นทางหลักนี้ประมาณสัก 2 กิโลก็จะถึงตลาดเช้า พร้อมกับเชิญชวนให้มาอุดหนุนข้าวเหนียวของเธอในวันรุ่งขึ้น (ผมกลับก่อนครับก็เลยไม่ได้อุดหนุนกัน) ผมไม่ได้เดินไปตามเส้นทางที่แม่ค้าเธอบอก แต่ผมเลือกเดินไปตามเส้นทางด้านปลายถนนครับ  ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆไม่นานก็ถึงจุดที่แม่น้ำโขงและแม่น้ำขามไหลมาบรรจบกัน  บริเวณนั้นก็จะเป็นสวนสาธารณะสำหรับชมสามเหลี่ยมของแม่น้ำทั้งสองและยังเป็นที่ตั้งของแท่งหินประกาศนียบัตรรับรองการเป็นเมืองมรดกโลกของหลวงพระบาง ตั้งเด่นเป็นสง่าดังที่เห็นในรูปนั่นแหละครับ


จากนั้นผมก็เดินชมวิวทิวทัศน์ บ้านเรือนด้านติดกับแม่น้ำโขงไปเรื่อยๆ สภาพบ้านเรือนก็เป็นอาคารแบบเก่าๆผสมปนเปกับอาคารรูปแบบสมัยใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นโรงแรมที่พักที่สร้างขึ้นมาใหม่ครับ แต่ดูโดยรวมก็ไม่น่าเกลียดอะไร ถนนหนทางก็สะอาดเรียบร้อยสมกับเป็นเมืองมรดกโลกจริงๆ ส่วนทางริมแม่น้ำส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านอาหาร ผับ บาร์ ยามค่ำคืนกับกลางวันนี่คนละเรื่องเลยครับ ในยามค่ำคืนจะเต็มไปด้วยไฟแสงสี ดนดรี นักท่องเที่ยว ขยะ ฯล แต่พอเช้ามาก็เรียบร้อยอย่างที่เห็นครับ


7โมงนิดๆผมเดินวนไปวนมาชมนกชมไม้ตามตรอกซอกซอยต่างๆ  จนกระทั่งมาโผล่อยู่ที่ตลาดเช้าแห่งหนึ่งใกล้ๆกับ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นตลาดเช้าที่นักท่องเที่ยวนิยมมากันหรือเปล่า แต่เท่าที่เห็นก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเหมือนกัน พวกเขาพากันมาหาซื้อของฝากประเภทขนมและอาหารการกินครับ เสียงต่อราคากันขโมงโฉงเฉง ของที่วางขายส่วนใหญ่ก็จะเป็นพืชผักและอาหารพื้นบ้านเป็นหลักครับ ผมเลยถือโอกาสหาอาหารเช้าจากที่นี่ซะเลย ดูไปดูมาก็ได้ข้าวเหนียวนึ่งกับคอหมูย่างอีกไม้นึงราคา 10000 กีบ ปริมาณพอสมควรเลยครับตบด้วยน้ำเย็นซักขวด 3000 กีบ หนึ่งคนหนึ่งอิ่มสบายๆครับสำหรับมื้อเช้า 


พอออกจากตลาดผมก็เดินย้อนกลับมาทางถนนเส้นกลาง เลี้ยวซ้ายไปไม่ไกลก็จะพบกับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ หลวงพระบาง ประตูเปิดแล้วแต่ยังไม่เปิดให้เข้าชมภายใน มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมอยู่บ้างแล้ว ผมก็เลยได้ชมแค่ภายนอกเท่านั้น แต่ภายนอกก็สวยงามมากครับ กะว่าเดี๋ยวตอนกลางวันจะย้อนกลับมาเที่ยวใหม่


เกือบๆ 8 โมงเช้าผมเดินมาถึงสะพานเหล็กที่เห็นอยู่ไกลๆตั้งแต่เมื่อวาน สะพานนี้สร้างข้ามแม่น้ำขามใช้เดินทางข้ามไปยังสนามบินหลวงพระบาง เปิดให้สัญจรหลังจาก 8 โมงเช้าแล้วเช่นกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าใครสร้างแต่สวยงามแข็งแรงดีครับ ตัวสะพานทำด้วยเหล็กปูพื้นด้วยไม้ มีทางเดินให้ชมวิวทั้งสองข้างของสะพานครับ (ถังขยะของหลวงพระบางดีไซน์แปลกตาดีครับ)


จากนั้นผมเดินกลับที่พัก กลับมาเพื่อสอบถามเรื่องการเดินทางกลับให้แน่ใจไว้ก่อน ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะอยู่ต่ออีกสักคืนแล้วค่อยเดินทางกลับ แต่หลังจากสอบถามแล้ว ทางโรงแรมเช็คให้ว่าไม่สามารถหาวิธีการให้ผมเดินทางกลับได้ในวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นรถนอนวีไอพีหรือเครื่องบิน มีแต่รถโดยสารธรรมดาเที่ยวเย็นนี้ 19.30 ออกจากหลวงพระบางถึงเวียงจันท์ตอน 6 โมงเช้าไม่อย่างนั้นก็ต้องรออีก2วัน ไม่มีทางเลือกแล้วครับยังไงก็ต้องกลับวันนี้ ถึงก่อนหนึ่งวันดีกว่ากลับไปทำงานไม่ทัน จ่ายไปอีก 700 บาทไทยครับสำหรับค่ารถโดยสารและรถรับส่งจากโรงแรมไปท่ารถ บขส และอีก 25000 กีบสำหรับค่าซักผ้าจากนั้นก็เข้าห้องพักอาบน้ำอาบท่า เตรียมเก็บสัมภาระลงกระเป๋า เพราะต้องเช็คเอาท์ก่อน 11 โมง หลังจากฝากกระเป๋าไว้ที่เคาท์เตอร์แล้ว จึงออกเดินทางต่อครับ ใกล้ๆเวลากลับแล้วค่อยแวะมาอาบน้ำที่นี่อีกที ผมออกเดินจากที่พักกลับมาทางเดิมเมื่อเช้าแต่คราวนี้เริ่มร้อนแล้วครับ แต่บริเวณริมน้ำอากาศเย็นสบาย ร้านอาหารริมแม่น้ำขามเิริ่มเปิดให้บริการบ้างแล้ว ได้ยินเสียงคนไทยลอยมาไกลๆจากร้านแถวๆนั้น


ผมเดินกลับมาทางเดิมเมื่อเช้า วัดแรกที่ตั้งใจไปชมคือวัดเชียงทอง สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับแรกๆของหลวงพระบางหนึ่งในมรดกโลก ด้านข้างหลังจากเสียค่าผ่านประตูเข้าชม 20000 กีบ เดินเข้าไปด้านซ้ายมือก็เป็นโรงเก็บราชรถครับ ทั้งภายนอกและภายในเป็นลวดลายซึ่งถูกปั้นเป็นเรื่องราวต่าง รวมถึงตัวราชรถที่อยู่ภายในก็สวยงามมาก มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาชมค่อนข้างเยอะ พวกเขาเหล่านั้นจะยืนชมภาพปั้นตามผนังพร้อมกับฟังคำอธิบายจากไกด์ท้องถิ่นอย่างตั้งใจเป็นเวลานาน ผมก็แอบๆเข้าไปฟังฟรีด้วยเหมือนกัน แต่แปลกครับผมไม่เจอคนไทยที่นี่เลย


หลังจากออกจากวัดเชียงทอง ผมก็เดินตามถนนเส้นที่ตักบาตรเมื่อเช้ามาเรื่อยๆแวะเข้าชมวัดที่อยู่รายทาง ส่วนใหญ่ก็จะมีความสวยงามไม่แพ้กัน แต่อาจจะไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าไหร่ ระหว่างทางแวะซื้อกาแฟเย็นแก้วนึง 7000 กีบครับอร่อยไม่แพ้ไทยเหมือนกัน วัดเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่เก็บค่าเข้าชม วัดที่ผมตั้งใจไปชมต่อไปก็คือ วัดใหม่สุวรรณพุมารามครับ (ไม่รู้อ่านถูกหรือปล่าว) ตอนไปถึงนี่แดดกำลังร้อนเลยครับ เสียค่าเข้าชม 10000 กีบ นักท่องเที่ยวบางตาก็เลยมีเวลาชมได้เต็มที่ ทั้งบริเวณรอบๆและภายในสวยงามไม่แพ้วัดเชียงทองครับ


ผมออกจากวัดใหม่ตั้งใจจะไปเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง แต่ปรากฏว่าติดพักเที่ยงพอดีก็เลยอดอีกครับ จะรอก็เวลาเหลือน้อยแล้วจำต้องข้ามไปก่อนครับ เป้าหมายต่อไปคือยอดภูสีที่ขึ้นไปเมื่อวานเย็นแต่มืดซะก่อน วันนี้เลยกลับไปขึ้นอีกรอบวันนี้ผมเลือกขึ้นทางด้านตลาดไนท์ครับ หนทางก็ไม่ได้่ขึ้นง่ายกว่ากันเท่าไหร่ ค่าขึ้นอีก 20000 กีบ เดินพอหอบจมูกบานก็ถึงยอดพอดี 


อากาศตอนกลางวันร้อนอบอ้าวพอสมควร มีนักท่องเที่ยวไม่มากนักอยู่บนภูสี ด้วยสภาพท้องฟ้าที่โปร่งพอสมควรทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ทั้งด้านแม่น้ำขามและด้านแม่น้ำโขงได้อย่างชัดเจน ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่นานพอสมควรครับ เพราะว่าไม่ต้องรีบไปไหนแล้วคิดว่าคงจบทริปหลวงพระบางไว้แค่นี้ก่อน นั่งพักผ่อนรับลมเย็นๆบนยอดภูสีจนหายเหนื่อยจึงค่อยเดินลงมาทางด้านติดแม่น้ำขาม หลังจากนั้นก็มาแวะนั่งรับลมเย็นๆบริเวณริมแม่น้ำขามรอให้แดดอ่อนซะหน่อยค่อยเดินกลับที่พัก 


แดดอ่อนๆตอนประมาณ 4 โมงเย็น ผมเริ่มออกเดินกลับที่พัก ระหว่างทางผมก็แวะจัดการอาหารมื้อสุดท้ายที่หลวงพระบางที่ร้านอาหารบริเวณก่อนถึงพระธาตุหมากโมซะก่อนครับ เริ่มด้วยข้าวผัดปูแบบลาวหนึ่งจาน เบียร์เย็นๆอีกขวด ปอเปี๊ยะญวนอีกชุด ตบท้ายด้วยเครปสังขยาอีกแผ่นจบแบบสบายๆ ค่าเสียหายก็ประมาณ 50000 กีบครับ


หลังจากออกจากร้านอาหารผมก็เดินกลับที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ จัดการอาบน้ำอาบท่าแต่งตัว เก็บข้าวของ เช็คสัมภาระอีกรอบแบบไม่ต้องรีบร้อน ยังเหลือเดินชมวิวทิวทัศน์ใกล้ๆที่พักได้อีกเพราะเวลาเหลืออีกนานกว่ารถมารับไปส่งที่คิวรถ บขส ตามเวลานัด 6.30 
ถึงเวลานัดทางที่พักออกตั๋วรถโดยสารให้กับผมพร้อมกับรถสามล้อมารับผมตรงตามเวลาพอดี ใช้เวลาเลี้ยวลัดเลาะไปมาไม่นานก็มาส่งผมไว้ที่ท่ารถ บขส พร้อมกับแนะนำรถคันที่จะออกเดินทางให้เสร็จสรรพ จากนั้นก็รอเวลารถออกอย่างเดียวครับ ตามหน้าตํ๋วบอกว่าเวลาออก 19.30 เลยเวลานิดหน่อย รถก็ออกเดินทาง ผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็จะเป็นพ่อค้าแม่ค้าชาวลาวที่จะเดินทางไปค้าขายที่เวียงจันทน์ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และบนรถโดยสารเที่ยวนี้ผมก็ไม่พบคนไทยเลยเช่นกัน
รถโดยสารเดินทางไปเรื่อยๆตามคดโค้งของถนน แต่ไม่ค่อยรู้สึกน่ากลัว อาจจจะเป็นเพราะว่ามองไม่เห็นก็ได้ กะเวลาน่าจะเที่ยงคืนนิดหน่อย รถก็แวะเข้าจุดพักทางจอดให้ผู้โยสารทำธุระส่วนตัว รวมถึงรับประทานอาหาร (ส่วนหางบัตรโดยสารสามารถใช้แลกอาหาร น้ำ นมหรือขนมได้) ประมาณเกือบชั่วโมงจึงออกเิดินทางต่อ รวดเดียวถึงเวียงจันทน์
เช้ามืดวันที่ 27 ตุลาคม 2555 ผมหลับๆตื่นๆมาตลอดทางเพราะไม่ชินกับการนอนบนรถ ประมาณ 6 โมงนิดๆ รถโดยสารเข้าเทียบที่สถานีขนส่งสายเหนือของเวียงจันทน์ ที่นี่ผมต้องต่อรถเพื่อกลับเข้าตัวเมืองเวียงจันทน์โดยรถสองแถว ค่าโดยสารก็ 20000 กีบ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานีขนส่งกลางของเวียงจันทน์ที่ผมมาถึงครั้งแรก และที่นี่เองผมก็ได้พบกับสามล้อเครื่องคนที่ให้บริการผมเมื่อครั้งแรกมาถึงอีกครั้งโดยบังเอิญ แต่มีเวลาไม่มากนักแค่ทักทายกันนิดหน่อย เพราะผมต้องรีบซื้อตํ๋วรถโดยสารระหว่างประเทศเพื่อกลับหนองคายที่กำลังจะออกตอน 7.00 ซึ่งเพื่อนผู้นั้นก็ให้การช่วยเหลือผมเป็นอย่างดีครับ (ต้องขอขอบคุณเพื่อนผู้นั้นไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ) ขั้นตอนก็เหมือนกับตอนมา ยื่นพาสปอร์ตเพื่อซื้อตั๋วโดยสารราคา 55 บาทบวกค่าธรรมเนียม 5 บาทแต่เอกสารขาออกและเข้าไม่ต้องเตรียมเพราะเขียนเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนขาเข้าเรียบร้อยแล้ว (คำแนะนำถ้ามีเงินกีบเหลือควรแลกคืนที่นี่ เพราะเวลาไปหน้าด่านแล้วร้านค้าต่างๆไม่ค่อยรับแลก หรือแลกในอัตราต่ำกว่าอัตราจริง นั่นจะทำให้เราขาดทุนเยอะ)
ใช้เวลาไม่นานก็ถึงด่านขาออกจากลาว ที่นี่ก็จะทำการตรวจเอกสารและหนังสือเดินทาง รู้สึกว่าจะมีการเสียค่าธรรมเนียมอะไรซักอย่างประมาณ 9000 กีบถ้าจำไม่ผิด ถัดไปก็เข้าด่านตรวจคนเข้าเมืองของไทย ที่นี่ก็เช่นกันครับตรวจเอกสารหนังสือเดินทาง ตรวจหาของผิดกฏหมาย เช่นเหล้า เบียร์ บุหรี่ สัตว์ป่า ยาเสพติด ฯล เป็นต้น เรียบร้อยก็กลับมาขึ้นรถคันเดิมเดินทางต่อไป ใช้เวลาไม่นานนักจากหน้าด่านผมก็มาเดินอยู่แถวๆ บขส หนองคายแล้ว หลังจากเข้าห้องน้ำห้องท่าล้างหน้า แปรงฟัน (เสียค่าบริการด้วย) ผมเลือกเดินเข้าตลาดเช้าแถวๆนั้น หาอะไรรองท้องซักหน่อยแล้วค่อยไปซื้อตั๋วรถโดยสารเพื่อกลับเข้าหมอชิต คราวนี้ใช้บริการของ 407 พัฒนาราคา 490 บาทครับ ตามหน้าตั๋วรถออกเวลา 9.20
ราวๆเกือบสามทุ่มผมเดินทางถึงหมอชิต จะเดินกลับไปด้านหน้าก็กลัวไม่ทันเวลารถตู้เที่ยวสุดท้าย ก็เลยใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากจุดจอดรถทัวร์ ให้ไปส่งคิวรถตู้หมอชิต-บ้านบึง ในราคา 50 บาท (แพงพอดูแต่ก็ต้องไปครับ ไม่งั้นนอนที่หมอชิตแน่) ทันรถเที่ยวสุดท้ายพอดี ค่าโดยสารจากหมอชิตกลับบ้านบึงอีก 120 บาท แต่เสียอารมณ์ตรงที่บอกว่ารถหมดสามทุ่มนี่แหละ เกือบ4ทุ่มโน่นรถถึงค่อยออกออกจากหมอชิต ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษๆผมก็เดินทางกลับถึงอำเภอบ้านบึงโดยสวัสดิภาพ รวมแล้วตั้งแต่เมื่อเย็นวานนี้จนถึงสี่ทุ่มกว่าๆคืนนี้ผมใช้เวลาอยู่บนรถอย่างเดียวมากกว่า 24 ชั่วโมง สุดยอดของการเดินทางเลยครับ แต่ก็ประทับใจสุดๆ
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายที่หลวงพระบางตั้งแต่เช้าวันที่เดินจะทางกลับจนเดินทางกลับจนถึง บ้านบึง-ชลบุรีไปประมาณ 530000 กีบก็ประมาณ 2200 บาทไทยตามรายละเอียดดังนี้ครับ
ค่าอาหาร 70000 กีบประมาณ 270 บาท
ค่าเข้าชม 50000 กีบประมาณ 200 บาท
ค่าบริการซักผ้า 25000 กีบประมาณ 100 บาท
ค่ารถโดยสาร+รถสามล้อส่งขากลับเวียงจันทน์ 175000 กีบประมาณ 700 บาท
ค่ารถโดยสองแถวเข้าเวียงจันทน์ 20000 กีบประมาณ 80 บาท
ค่ารถโดยสารระหว่างประเทศ 60 บาท
ค่าธรรมเนียม+อื่นๆ 10000 กีบประมาณ 40 บาท
ค่ารถโดยสารหนองคาย-หมอชิต 490 บาท
ค่ามอเตอร์ไซค์+รถตู้ 170 บาท
อื่นๆ ประมาณ 100 บาท
สรุปโดยรวมแล้วผมใช้จ่ายเงินไปทั้งหมดประมาณ 8000 บาทไทย ในการเดินทางเที่ยวสามเมืองใหญ่ๆ ในลาว เริ่มต้นที่เวียงจันทน์ 1 วัน1คืน วังเวียง 2วัน2คืน หลวงพระบางอีก 2วัน1คืน เดินทางบนรถอีก 1คืน1วัน ถึงบ้านพอดี ตรงกับงบทีตั้งใจไว้ไม่ให้เกินหมื่น เริ่มจากเงินสดติดตัวประมาณ 8000 บาทไปกดเอทีเอ็มที่วังเวียงเพิ่มอีก 2000 บาท หลังจากกลับถึงบ้านเหลือเงินสดอยู่ประมาณพันกว่าบาทและเงินกีบอีกประมาณ 45000 กีบก็เกือบๆ200 บาทหลังจากแลกคืนได้เพียงบางส่วน(แบบขาดทุน)เพราะหาที่แลกคืนไม่ได้ รวมเป็นเงินไทยทั้งหมดแล้วประมาณ 8000 บาท ยังไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทครับกับการเที่ยวแบบแบคแพคเกอร์ของผม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการท่องเที่ยวแบบนี้ก็ค่อนข้างเสี่ยงนิดหน่อย และไม่สามารถเลือกความสะดวกสบายหรือกำหนดอะไรให้มันตรงกับใจเราได้ แต่ถ้าใครชอบแบบผมก็สามารถใช้รีวิวของผมเป็นแนวทางได้ ท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามเรื่อยมาในทุกๆตอนจนจบตอนสุดท้าย ขอให้แบคแพคเกอร์ทุกท่านสนุกกับการท่องเที่ยวในทุกๆที่นะครับ...

ขอบคุณอีกครั้ง แล้วเจอกันทริปหน้า สวัสดีครับครับ...P_roj





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น