เช้าตรู่วันที่ 22 กรกฎาคม 2556 ฝนตกยาวมาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงช่วงเช้ามืด อากาศตอนเช้าที่ตำบลศรีเมืองใหม่ค่อนข้างเย็นสบาย แต่ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเมฆหมอกสีขุ่นๆดูเหมือนพร้อมจะกลั่นตัวเป็นน้ำฝนได้ตลอดเวลา ตอนสายๆหลังจากร่วมรับประทานอาหารเช้าแบบพื้นบ้านกันเรียบร้อยแล้ว พี่สมปองเจ้าของบ้านได้กรุณาพาผมและครอบครัวของเขา ไปเที่ยวตลาดนัดแถวตลาดสดศรีเมืองใหม่ ซึ่งอยู่ไกลจากบ้านที่พักประมาณสัก 10 กิโลเมตร ที่นี่ก็เป็นตลาดนัดขนาดค่อนข้างใหญ่ทีเดียว (ถ้าเทียบกับตลาดนัดแถวบ้านผม) ของที่ขายส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารการกินในท้องถิ่น เช่นเห็ดนาๆชนิด หน่อไม้ สัตว์น้ำที่จับมาได้ เทปผีซีดีเถื่อนและเสื้อผ้ามือสอง แต่เราก็ไม่ได้ซื้ออะไรกันมากนักส่วนใหญ่ก็จะซื้อของกินเล่น และของฝากเล็กๆน้อยติดมือไว้กลับบ้าน เราใช้เวลาเดินเล่นอยู่ที่นี่กันนานพอสมควรจึงเดินทางกลับที่พัก หลังจากท่านเจ้าของบ้านกลับมาส่งครอบครัวเรียบร้อยแล้ว พวกเราเตรียมตัวอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวด้วยชุดสบายๆกะว่าจะไปลุยฝนกันเลยทีเดียว ตามโปรแกรมที่วางไว้พวกเราคิดกันว่าคงจะไปเริ่มต้นกันที่อุทยานแห่งชาติผาแต้มกันก่อนสำหรับวันนี้ แม้ว่าสภาพฟ้าฝนจะไม่ค่อยเป็นใจแต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจของพวกเราได้ครับ หลังจากทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมและครอบครัวของท่านเจ้าของบ้านพร้อมด้วยเด็กๆอีกจำนวนหนึ่งจึงเริ่มออกเดินทางกันตอนประมาณเกือบๆ11โมงเช้า ขับรถไปเรื่อยๆแบบไม่รีบร้อน ใช้เวลาไม่นานครับก็ไปถึงหน้าด่านเสียค่าผ่านเข้าอุทยานเรียบร้อย ขับรถไปอีกไม่ไกล ผ่านเสาเฉลียงไปสักพักก็เข้าสู่ลานจอดรถบนหินตะปุ่มตะป่ำ สังเกตุดูจำนวนรถบนลานจอดมีไม่มากนักในวันนี้
ผาแต้มวันนี้มีนักท่องเที่ยวบางตา อาจเป็นเพราะว่าไม่ใช่ช่วงเทศกาลวันหยุดยาวๆหรืออาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศไม่อำนวยก็เป็นไปได้
มองจากจุดชมวิวด้านบนลงไป เห็นแม่น้ำโขงและพื้นที่ฝั่งลาวอยู่ไกลๆ ช่วงนี้น้ำกำลังเต็มตลิ่งจนล้นขึ้นมาบนพื้นที่ราบซึ่งกำลังไถพรวนเพื่อทำนา สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากด้านบน
ด้านบนที่ว่าเงียบเหงาแล้วด้านล่างยิ่งกว่าีอีกครับ นอกจากกลุ่มของผมที่ตัดสินใจเดินลงมาชมด้านล่าง ก็มีนักท่องเที่ยวอีกสองกลุ่มใหญ่เดินล่วงหน้าออกไป และนักท่องเที่ยวบางส่วนที่เดินสวนทางกลับมาเป็นระยะๆ
จุดนี้ก็เป็นอีกจุดที่มีท่องเที่ยวรอเที่ยวชม ถ่ายรูปกันพอสมควร แต่เลยจากนี้แล้วแทบไม่มีใครเดินต่อไป นอกจากพวกเราที่ตัดสินใจเดินตามวงรอบเป็นระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตรตามป้ายบอกทาง
ภาพเขียนสีบนหน้าผาหินอายุหลายพันปี กลุ่มใหญ่ที่สุด รูปปลา คนแจกัน ฯล ดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อครับว่าคนโบราณจะมีวิธีเขียนและเลือกใช้สีที่สามารถติดคงทนถาวรมานาน จนทำให้เราสามารถได้ชื่นชมกันมาจนถึงปัจจุบัน
อีกภาพนึง แต่มองไม่ค่อยออกครับว่ามีภาพอะไรอยู่บ้าง มองดูคล้ายกับขวดหรือโถน้ำประมาณนั้น และลวดลายที่เขียนไว้ก็ดูคล้ายกับลายที่เขียนบนภาชนะของบ้านเชียง
ภาพนี้มีการเขียนลายแบบตารางไว้ที่ด้านล่างของแท่งหิน และมีการระบายสีออกสีฟ้าไว้ด้านล่างด้วย
อีกภาพนึงครับ ดูไม่ค่อยออกเหมือนกันว่าเป็นภาพอะไร
หลังจากเดินผ่านกลุ่มภาพเขียนกลุ่มที่สองแล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะเลือกเดินกลับมากกว่าเดินไปตามวงรอบของหน้าผา อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ค่อยมีอะไรให้ชมนอกจากหน้าผาแต่ไม่มีภาพเขียน หรืออาจจะเป็นเพราะสายน้ำที่ตกลงจากด้านบนของหน้าผาทำให้การเดินชมไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แต่กลุ่มของผมเลือกที่จะเดินต่อไปให้ครบวงรอบของการเดินครับ เดินไปชมไป อากาศด้านล่างค่อนข้างชื้นและอบอ้าว ทำให้เหงื่อโชกเลยทีเดียว ไม่นานก็สุดระยะทางของหน้าผา ขากลับขึ้นสู่ด้านบนนี่สุดๆเลยครับ ดันกันตัวโก่ง ใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆเราก็มานั่งหอบรอให้เหงื่อแห้งกันที่ลานจอดรถ พอหายเหนื่อยก็ออกเดินทางกลับ แวะถ่ายรูปกันที่เสาเฉลียงอีกหน่อย นักท่องเที่ยวค่อนข้างน้อยอาจด้วยอากาศไม่ค่อยเป็นใจ สภาพท้องฟ้าไม่แจ่มใสครับถ่ายภาพออกมาก็เลยเป็นอย่างที่เห็น
ส่วนนี้มีลักษณะเตี้ยกว่าตั้งอยู่ข้างๆเสาเฉลียง แต่ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว
มองจากด้านล่างขึ้นไปคล้ายกับร่มหรือว่าดอกเห็ดแล้วแต่มุมมองของใครของมันครับ
เราใช้เวลาที่นี่กันไม่นานนัก เพราะยังมีเป้าหมายต่อไปคือ น้ำตกสร้อยสวรรค์ ตามคำเรียกร้องของเด็กๆตัวน้ำตกอยู่ไม่ไกลจากผาแต้มมากนักใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ถึง ดูเวลาประมาณ 3 โมงนิดๆเลยเวลาอาหารกลางวันมานานพอสมควร ก็เลยจัดการกันซะที่ร้านค้าบริเวณลานจอดรถนั่นแหละ อาหารกลางวันค่อนมาทางเย็น มื้อนี้ก็มีส้มตำปูปลาร้า ไก่ย่างและก๋วยเตี๋ยวสำหรับเด็กๆ ส่วนข้าวเหนียวและน้ำดื่มเราเตรียมมากันเอง ทุ่นไปได้เยอะสนนราคาก็ 300 กว่าบาท รสชาดรับประทานได้หรือหิวก็ไม่แน่ใจ เสร็จสรรพเรียบร้อยพวกเราเดินทางเข้าสู่น้ำตกกันตอนเกือบๆสี่โมงเย็น นักท่องเที่ยวบางส่วนเริ่มเดินสวนทางกลับมาเป็นระยะๆ ค่าผ่านประตูไม่เสียครับถ้าเรามาจากผาแต้มเพราะว่าอยู่ในเขตอุทยานเดียวกัน แต่ต้องนำหลักฐานหางบัตรที่เราซื้อจากผาแต้มมาแสดงด้วย ระยะทางเดินก็ไม่ไกลเท่าไหร่ครับเดินลงไปตามทางที่ถูกสร้างไว้ประมาณสัก 500 เมตรก็ถึงตัวน้ำตก แต่ขาขึ้นนี่คงเอาการน่าดูเพราะขาแข้งยังไม่ทันหายล้าจากการเดินวนรอบผาแต้ม เมื่อแรกเห็นก็รู้สึกว่ามีน้ำมากพอสมควรเลยทีเดียว มีนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งกำลังเล่นน้ำกันอยู่อย่างสนุกสนาน ทั้งส่วนด้านที่เป็นน้ำตกสร้อยสวรรค์และด้านบนที่เป็นตัวน้ำตกข้างๆกัน
นี่ไงครับน้ำตกสร้อยสวรรค์ ลักษณะเป็นน้ำตกแบบสายน้ำตกจากด้านบนลงมาความสูงคงสักประมาณ 6-8 เมตร กระทบกับพื้นหินด้านล่างจนฟุ้งเป็นฝอย ส่งผลให้อากาศบริเวณนั้นเย็นเฉียบสะใจเลยทีเดียว ส่วนด้านล่างของสายน้ำตกกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน พวกเราไม่ได้เล่นน้ำกันเพราะไม่ได้เตรียมชุดมาเปลี่ยน แค่ได้นั่งมองกลุ่มเด็กๆเล่นน้ำกันก็สุขใจแล้วครับ
เมื่อลองเดินขึ้นมาดูด้านบน มีนักท่องเที่ยวไม่มากนักกำลังเล่นน้ำกันอยู่ บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็มาเป็นกลุ่มกำลังตั้งวงอบอุ่นร่างกายกันอย่างเอาจริงเอาจัง ตัวน้ำตกมีลักษณะเป็นหน้าผาทั้งสองด้าน ส่วนที่เป็นน้ำตกมีลักษณะเป็นชั้น 2-3 ชั้นลดหลั่นกัน ความสูงประมาณสัก 2-3 เมตร มีสายน้ำไหลผ่านตรงกลาง
น้ำตกสร้อยสวรรค์ในช่วงว่างงาน
บริเวณตัวน้ำตกเมื่อมองจากจุดชมวิวด้านบน
เราใช้เวลาอยู่ที่น้ำตกกันประมาณ 1 ชั่วโมง จนเด็กๆเริ่มบ่นว่าหนาวพวกเราจึงออกเดินทางออกจากน้ำตกสร้อยสวรรค์กันตอน 5 โมงนิดหน่อย แม้ว่าสภาพอากาศจะไม่อำนวยเท่าไหร่ แต่ว่าผมกลับรู้สึกชอบการท่องเที่ยวแบบนี้ครับ เหตุผลเพราะว่า หนึ่งด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่ค่อนข้างน้อยทำให้มีเวลาเที่ยวชมได้นานจนจุใจ สองจะหามุมถ่ายรูปสวยๆแบบไม่มีผู้คนก็ทำได้ไม่ยาก สามอาหารการกินก็หาง่ายและราคาไม่ค่อยแพงเหมือนช่วงเทศกาล โดยรวมแล้วผมประทับใจกับทริปนี้ครับ ท้ายที่สุดต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง สำหรับคุณพี่สมปองผู้เป็นเจ้าของบ้านและพาหนะในการเดินทางและน้องเมตตาผู้ภรรยารวมถึงบรรดาหลานๆที่น่ารัก ที่ให้การดูแลเป็นอย่างดีตลอดเส้นทาง รวมถึงเพื่อนๆผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาตลอดทริป ติดตามกันต่อใน "เที่ยวหน้าฝน@อุบลราชธานี ตอน แห่เทียนพรรษา เฮฮากับเพื่อนเก่า" ครับ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น