หน้าเว็บ

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

คนเดียวเที่ยวลาวเหนือ ตอน หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก 2

                                                     Inside หลวงพระบาง


วันที่ 26 ตุลาคม 2555 เวลาประมาณ 6.00 น.หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยเตรียมกล้องออกจากโรงแรม เดินไปตามถนนเส้นเดิมเมื่อวาน บรรยากาศตอนเช้านี้กับเมื่อเย็นวานต่างกันลิบลับ ร้านรวงยังไม่เปิดให้บริการ   ถนนหนทางโล่งและเงียบสงบ อากาศค่อนข้างเย็นสบายเหมาะแก่การสูดลมหายใจให้เต็มปอด ผมเดินเลียบยอดภูสีด้านติดแม่น้ำขามไปแบบไม่รีบร้อน  เดินผ่านบ้านเรือนในรูปแบบดั้งเดิมปะปนอยู่กับบ้านเรือนที่ก่อสร้างแบบสมัยใหม่อย่างไม่น่าเกลียด  ชาวบ้านบางส่วนเริ่มเตรียมกระติ๊บข้าวเหนียวมานั่งรอใส่บาตรตามทางที่พระภิกษุและสามเณรจะเดินผ่านกันมากพอสมควร ไฮไลท์ของเช้านี้อยู่ที่ถนนเส้นกลางครับ ที่นั่นจะมีกิจกรรมยอดฮิตของหลวงพระบางคือ การตักบาตรข้าวเหนียว ในตอนเช้าของทุกๆวัน ชาวหลวงพระบางรวมทั้งนักท่องเที่ยว พระสงฆ์สามเณรและบรรดาพ่อค้าแม่ค้าล้วนมาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ครับ


ผมเดินมาถึงบริเวณที่มีการตักบาตรข้าวเหนียว ด้านหน้าจะคราคร่ำไปด้วยบรรดาแม่ค้ามานำเสนอขายข้าวเหนียวสำหรับใส่บาตรให้กับบรรดานักท่องเที่ยวที่ไม่ได้เตรียมข้าวเหนียวมาเอง  สนนราคาก็ไม่แพงประมาณ 15000-20000 กีบ แต่ผมไม่ได้ซื้อครับเพราะตั้งใจมาถ่ายรูปอย่างเดียว นักท่องเที่ยวชาวไทยค่อนข้างเยอะครับ  เพราะนี่คงเป็นอีกกิจกรรมที่ถูกบรรจุไว้ในโปรแกรมท่องเที่ยวหลวงพระบางอย่างขาดไม่ได้ เสียงไกด์ทัวร์เรียกลูกทีมให้มารอใส่บาตรและเตรียมถ่ายรูปดังเซ็งแซ่ ประมาณ 6.30 โดยประมาณพระภิกษุและสามเณรเริ่มต้นเดินบิณฑบาตรตามเส้นทางจากปลายถนนมาเรื่อยๆ  พระและเณรที่นี่เยอะมากครับ คงเป็นเพราะที่หลวงพระบางเองมีวัดจำนวนมาก คะเนดูน่าจะมีมากถึง 200 องค์ บิณฑบาตรมาเรื่อยๆไม่ขาดสาย ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะนั่งรอใส่บาตรอยู่ทางด้านท้ายๆปลายถนนครับ  ส่วนวิธีการใส่บาตรกระทำโดยการบิข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนเล็กๆ  พอใส่ไปจนเกือบหมดก็จะแบ่งเป็นก้อนเล็กๆก้อนหนึ่งวางทิ้งไว้บนกำแพงบ้าง นัยว่าเป็นการแบ่งให้นกกาได้อาศัยกินบ้างเป็นการทำทานไปในตัว  แต่ในบริเวณที่ผมยืนอยู่จะเป็นโซนของนักท่องเที่ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ


ประมาณครึ่งชั่วโมงการบิณฑบาตรก็สิ้นสุดลง  เสียงไกด์ทัวร์เชิญลูกทัวร์ขึ้นรถเพื่อจะไปชอปปิ้งกันต่อที่ตลาดเช้า ผมก็เลยสอบถามเส้นทางจากแม่ค้าขายข้าวเหนียวเจ้าหนึ่งได้ความว่าให้เดินย้อนกลับไปตามเส้นทางหลักนี้ประมาณสัก 2 กิโลก็จะถึงตลาดเช้า พร้อมกับเชิญชวนให้มาอุดหนุนข้าวเหนียวของเธอในวันรุ่งขึ้น (ผมกลับก่อนครับก็เลยไม่ได้อุดหนุนกัน) ผมไม่ได้เดินไปตามเส้นทางที่แม่ค้าเธอบอก แต่ผมเลือกเดินไปตามเส้นทางด้านปลายถนนครับ  ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆไม่นานก็ถึงจุดที่แม่น้ำโขงและแม่น้ำขามไหลมาบรรจบกัน  บริเวณนั้นก็จะเป็นสวนสาธารณะสำหรับชมสามเหลี่ยมของแม่น้ำทั้งสองและยังเป็นที่ตั้งของแท่งหินประกาศนียบัตรรับรองการเป็นเมืองมรดกโลกของหลวงพระบาง ตั้งเด่นเป็นสง่าดังที่เห็นในรูปนั่นแหละครับ


จากนั้นผมก็เดินชมวิวทิวทัศน์ บ้านเรือนด้านติดกับแม่น้ำโขงไปเรื่อยๆ สภาพบ้านเรือนก็เป็นอาคารแบบเก่าๆผสมปนเปกับอาคารรูปแบบสมัยใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นโรงแรมที่พักที่สร้างขึ้นมาใหม่ครับ แต่ดูโดยรวมก็ไม่น่าเกลียดอะไร ถนนหนทางก็สะอาดเรียบร้อยสมกับเป็นเมืองมรดกโลกจริงๆ ส่วนทางริมแม่น้ำส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านอาหาร ผับ บาร์ ยามค่ำคืนกับกลางวันนี่คนละเรื่องเลยครับ ในยามค่ำคืนจะเต็มไปด้วยไฟแสงสี ดนดรี นักท่องเที่ยว ขยะ ฯล แต่พอเช้ามาก็เรียบร้อยอย่างที่เห็นครับ


7โมงนิดๆผมเดินวนไปวนมาชมนกชมไม้ตามตรอกซอกซอยต่างๆ  จนกระทั่งมาโผล่อยู่ที่ตลาดเช้าแห่งหนึ่งใกล้ๆกับ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นตลาดเช้าที่นักท่องเที่ยวนิยมมากันหรือเปล่า แต่เท่าที่เห็นก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเหมือนกัน พวกเขาพากันมาหาซื้อของฝากประเภทขนมและอาหารการกินครับ เสียงต่อราคากันขโมงโฉงเฉง ของที่วางขายส่วนใหญ่ก็จะเป็นพืชผักและอาหารพื้นบ้านเป็นหลักครับ ผมเลยถือโอกาสหาอาหารเช้าจากที่นี่ซะเลย ดูไปดูมาก็ได้ข้าวเหนียวนึ่งกับคอหมูย่างอีกไม้นึงราคา 10000 กีบ ปริมาณพอสมควรเลยครับตบด้วยน้ำเย็นซักขวด 3000 กีบ หนึ่งคนหนึ่งอิ่มสบายๆครับสำหรับมื้อเช้า 


พอออกจากตลาดผมก็เดินย้อนกลับมาทางถนนเส้นกลาง เลี้ยวซ้ายไปไม่ไกลก็จะพบกับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ หลวงพระบาง ประตูเปิดแล้วแต่ยังไม่เปิดให้เข้าชมภายใน มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมอยู่บ้างแล้ว ผมก็เลยได้ชมแค่ภายนอกเท่านั้น แต่ภายนอกก็สวยงามมากครับ กะว่าเดี๋ยวตอนกลางวันจะย้อนกลับมาเที่ยวใหม่


เกือบๆ 8 โมงเช้าผมเดินมาถึงสะพานเหล็กที่เห็นอยู่ไกลๆตั้งแต่เมื่อวาน สะพานนี้สร้างข้ามแม่น้ำขามใช้เดินทางข้ามไปยังสนามบินหลวงพระบาง เปิดให้สัญจรหลังจาก 8 โมงเช้าแล้วเช่นกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าใครสร้างแต่สวยงามแข็งแรงดีครับ ตัวสะพานทำด้วยเหล็กปูพื้นด้วยไม้ มีทางเดินให้ชมวิวทั้งสองข้างของสะพานครับ (ถังขยะของหลวงพระบางดีไซน์แปลกตาดีครับ)


จากนั้นผมเดินกลับที่พัก กลับมาเพื่อสอบถามเรื่องการเดินทางกลับให้แน่ใจไว้ก่อน ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะอยู่ต่ออีกสักคืนแล้วค่อยเดินทางกลับ แต่หลังจากสอบถามแล้ว ทางโรงแรมเช็คให้ว่าไม่สามารถหาวิธีการให้ผมเดินทางกลับได้ในวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นรถนอนวีไอพีหรือเครื่องบิน มีแต่รถโดยสารธรรมดาเที่ยวเย็นนี้ 19.30 ออกจากหลวงพระบางถึงเวียงจันท์ตอน 6 โมงเช้าไม่อย่างนั้นก็ต้องรออีก2วัน ไม่มีทางเลือกแล้วครับยังไงก็ต้องกลับวันนี้ ถึงก่อนหนึ่งวันดีกว่ากลับไปทำงานไม่ทัน จ่ายไปอีก 700 บาทไทยครับสำหรับค่ารถโดยสารและรถรับส่งจากโรงแรมไปท่ารถ บขส และอีก 25000 กีบสำหรับค่าซักผ้าจากนั้นก็เข้าห้องพักอาบน้ำอาบท่า เตรียมเก็บสัมภาระลงกระเป๋า เพราะต้องเช็คเอาท์ก่อน 11 โมง หลังจากฝากกระเป๋าไว้ที่เคาท์เตอร์แล้ว จึงออกเดินทางต่อครับ ใกล้ๆเวลากลับแล้วค่อยแวะมาอาบน้ำที่นี่อีกที ผมออกเดินจากที่พักกลับมาทางเดิมเมื่อเช้าแต่คราวนี้เริ่มร้อนแล้วครับ แต่บริเวณริมน้ำอากาศเย็นสบาย ร้านอาหารริมแม่น้ำขามเิริ่มเปิดให้บริการบ้างแล้ว ได้ยินเสียงคนไทยลอยมาไกลๆจากร้านแถวๆนั้น


ผมเดินกลับมาทางเดิมเมื่อเช้า วัดแรกที่ตั้งใจไปชมคือวัดเชียงทอง สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับแรกๆของหลวงพระบางหนึ่งในมรดกโลก ด้านข้างหลังจากเสียค่าผ่านประตูเข้าชม 20000 กีบ เดินเข้าไปด้านซ้ายมือก็เป็นโรงเก็บราชรถครับ ทั้งภายนอกและภายในเป็นลวดลายซึ่งถูกปั้นเป็นเรื่องราวต่าง รวมถึงตัวราชรถที่อยู่ภายในก็สวยงามมาก มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาชมค่อนข้างเยอะ พวกเขาเหล่านั้นจะยืนชมภาพปั้นตามผนังพร้อมกับฟังคำอธิบายจากไกด์ท้องถิ่นอย่างตั้งใจเป็นเวลานาน ผมก็แอบๆเข้าไปฟังฟรีด้วยเหมือนกัน แต่แปลกครับผมไม่เจอคนไทยที่นี่เลย


หลังจากออกจากวัดเชียงทอง ผมก็เดินตามถนนเส้นที่ตักบาตรเมื่อเช้ามาเรื่อยๆแวะเข้าชมวัดที่อยู่รายทาง ส่วนใหญ่ก็จะมีความสวยงามไม่แพ้กัน แต่อาจจะไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าไหร่ ระหว่างทางแวะซื้อกาแฟเย็นแก้วนึง 7000 กีบครับอร่อยไม่แพ้ไทยเหมือนกัน วัดเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่เก็บค่าเข้าชม วัดที่ผมตั้งใจไปชมต่อไปก็คือ วัดใหม่สุวรรณพุมารามครับ (ไม่รู้อ่านถูกหรือปล่าว) ตอนไปถึงนี่แดดกำลังร้อนเลยครับ เสียค่าเข้าชม 10000 กีบ นักท่องเที่ยวบางตาก็เลยมีเวลาชมได้เต็มที่ ทั้งบริเวณรอบๆและภายในสวยงามไม่แพ้วัดเชียงทองครับ


ผมออกจากวัดใหม่ตั้งใจจะไปเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง แต่ปรากฏว่าติดพักเที่ยงพอดีก็เลยอดอีกครับ จะรอก็เวลาเหลือน้อยแล้วจำต้องข้ามไปก่อนครับ เป้าหมายต่อไปคือยอดภูสีที่ขึ้นไปเมื่อวานเย็นแต่มืดซะก่อน วันนี้เลยกลับไปขึ้นอีกรอบวันนี้ผมเลือกขึ้นทางด้านตลาดไนท์ครับ หนทางก็ไม่ได้่ขึ้นง่ายกว่ากันเท่าไหร่ ค่าขึ้นอีก 20000 กีบ เดินพอหอบจมูกบานก็ถึงยอดพอดี 


อากาศตอนกลางวันร้อนอบอ้าวพอสมควร มีนักท่องเที่ยวไม่มากนักอยู่บนภูสี ด้วยสภาพท้องฟ้าที่โปร่งพอสมควรทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ทั้งด้านแม่น้ำขามและด้านแม่น้ำโขงได้อย่างชัดเจน ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่นานพอสมควรครับ เพราะว่าไม่ต้องรีบไปไหนแล้วคิดว่าคงจบทริปหลวงพระบางไว้แค่นี้ก่อน นั่งพักผ่อนรับลมเย็นๆบนยอดภูสีจนหายเหนื่อยจึงค่อยเดินลงมาทางด้านติดแม่น้ำขาม หลังจากนั้นก็มาแวะนั่งรับลมเย็นๆบริเวณริมแม่น้ำขามรอให้แดดอ่อนซะหน่อยค่อยเดินกลับที่พัก 


แดดอ่อนๆตอนประมาณ 4 โมงเย็น ผมเริ่มออกเดินกลับที่พัก ระหว่างทางผมก็แวะจัดการอาหารมื้อสุดท้ายที่หลวงพระบางที่ร้านอาหารบริเวณก่อนถึงพระธาตุหมากโมซะก่อนครับ เริ่มด้วยข้าวผัดปูแบบลาวหนึ่งจาน เบียร์เย็นๆอีกขวด ปอเปี๊ยะญวนอีกชุด ตบท้ายด้วยเครปสังขยาอีกแผ่นจบแบบสบายๆ ค่าเสียหายก็ประมาณ 50000 กีบครับ


หลังจากออกจากร้านอาหารผมก็เดินกลับที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ จัดการอาบน้ำอาบท่าแต่งตัว เก็บข้าวของ เช็คสัมภาระอีกรอบแบบไม่ต้องรีบร้อน ยังเหลือเดินชมวิวทิวทัศน์ใกล้ๆที่พักได้อีกเพราะเวลาเหลืออีกนานกว่ารถมารับไปส่งที่คิวรถ บขส ตามเวลานัด 6.30 
ถึงเวลานัดทางที่พักออกตั๋วรถโดยสารให้กับผมพร้อมกับรถสามล้อมารับผมตรงตามเวลาพอดี ใช้เวลาเลี้ยวลัดเลาะไปมาไม่นานก็มาส่งผมไว้ที่ท่ารถ บขส พร้อมกับแนะนำรถคันที่จะออกเดินทางให้เสร็จสรรพ จากนั้นก็รอเวลารถออกอย่างเดียวครับ ตามหน้าตํ๋วบอกว่าเวลาออก 19.30 เลยเวลานิดหน่อย รถก็ออกเดินทาง ผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็จะเป็นพ่อค้าแม่ค้าชาวลาวที่จะเดินทางไปค้าขายที่เวียงจันทน์ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และบนรถโดยสารเที่ยวนี้ผมก็ไม่พบคนไทยเลยเช่นกัน
รถโดยสารเดินทางไปเรื่อยๆตามคดโค้งของถนน แต่ไม่ค่อยรู้สึกน่ากลัว อาจจจะเป็นเพราะว่ามองไม่เห็นก็ได้ กะเวลาน่าจะเที่ยงคืนนิดหน่อย รถก็แวะเข้าจุดพักทางจอดให้ผู้โยสารทำธุระส่วนตัว รวมถึงรับประทานอาหาร (ส่วนหางบัตรโดยสารสามารถใช้แลกอาหาร น้ำ นมหรือขนมได้) ประมาณเกือบชั่วโมงจึงออกเิดินทางต่อ รวดเดียวถึงเวียงจันทน์
เช้ามืดวันที่ 27 ตุลาคม 2555 ผมหลับๆตื่นๆมาตลอดทางเพราะไม่ชินกับการนอนบนรถ ประมาณ 6 โมงนิดๆ รถโดยสารเข้าเทียบที่สถานีขนส่งสายเหนือของเวียงจันทน์ ที่นี่ผมต้องต่อรถเพื่อกลับเข้าตัวเมืองเวียงจันทน์โดยรถสองแถว ค่าโดยสารก็ 20000 กีบ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานีขนส่งกลางของเวียงจันทน์ที่ผมมาถึงครั้งแรก และที่นี่เองผมก็ได้พบกับสามล้อเครื่องคนที่ให้บริการผมเมื่อครั้งแรกมาถึงอีกครั้งโดยบังเอิญ แต่มีเวลาไม่มากนักแค่ทักทายกันนิดหน่อย เพราะผมต้องรีบซื้อตํ๋วรถโดยสารระหว่างประเทศเพื่อกลับหนองคายที่กำลังจะออกตอน 7.00 ซึ่งเพื่อนผู้นั้นก็ให้การช่วยเหลือผมเป็นอย่างดีครับ (ต้องขอขอบคุณเพื่อนผู้นั้นไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ) ขั้นตอนก็เหมือนกับตอนมา ยื่นพาสปอร์ตเพื่อซื้อตั๋วโดยสารราคา 55 บาทบวกค่าธรรมเนียม 5 บาทแต่เอกสารขาออกและเข้าไม่ต้องเตรียมเพราะเขียนเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนขาเข้าเรียบร้อยแล้ว (คำแนะนำถ้ามีเงินกีบเหลือควรแลกคืนที่นี่ เพราะเวลาไปหน้าด่านแล้วร้านค้าต่างๆไม่ค่อยรับแลก หรือแลกในอัตราต่ำกว่าอัตราจริง นั่นจะทำให้เราขาดทุนเยอะ)
ใช้เวลาไม่นานก็ถึงด่านขาออกจากลาว ที่นี่ก็จะทำการตรวจเอกสารและหนังสือเดินทาง รู้สึกว่าจะมีการเสียค่าธรรมเนียมอะไรซักอย่างประมาณ 9000 กีบถ้าจำไม่ผิด ถัดไปก็เข้าด่านตรวจคนเข้าเมืองของไทย ที่นี่ก็เช่นกันครับตรวจเอกสารหนังสือเดินทาง ตรวจหาของผิดกฏหมาย เช่นเหล้า เบียร์ บุหรี่ สัตว์ป่า ยาเสพติด ฯล เป็นต้น เรียบร้อยก็กลับมาขึ้นรถคันเดิมเดินทางต่อไป ใช้เวลาไม่นานนักจากหน้าด่านผมก็มาเดินอยู่แถวๆ บขส หนองคายแล้ว หลังจากเข้าห้องน้ำห้องท่าล้างหน้า แปรงฟัน (เสียค่าบริการด้วย) ผมเลือกเดินเข้าตลาดเช้าแถวๆนั้น หาอะไรรองท้องซักหน่อยแล้วค่อยไปซื้อตั๋วรถโดยสารเพื่อกลับเข้าหมอชิต คราวนี้ใช้บริการของ 407 พัฒนาราคา 490 บาทครับ ตามหน้าตั๋วรถออกเวลา 9.20
ราวๆเกือบสามทุ่มผมเดินทางถึงหมอชิต จะเดินกลับไปด้านหน้าก็กลัวไม่ทันเวลารถตู้เที่ยวสุดท้าย ก็เลยใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากจุดจอดรถทัวร์ ให้ไปส่งคิวรถตู้หมอชิต-บ้านบึง ในราคา 50 บาท (แพงพอดูแต่ก็ต้องไปครับ ไม่งั้นนอนที่หมอชิตแน่) ทันรถเที่ยวสุดท้ายพอดี ค่าโดยสารจากหมอชิตกลับบ้านบึงอีก 120 บาท แต่เสียอารมณ์ตรงที่บอกว่ารถหมดสามทุ่มนี่แหละ เกือบ4ทุ่มโน่นรถถึงค่อยออกออกจากหมอชิต ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษๆผมก็เดินทางกลับถึงอำเภอบ้านบึงโดยสวัสดิภาพ รวมแล้วตั้งแต่เมื่อเย็นวานนี้จนถึงสี่ทุ่มกว่าๆคืนนี้ผมใช้เวลาอยู่บนรถอย่างเดียวมากกว่า 24 ชั่วโมง สุดยอดของการเดินทางเลยครับ แต่ก็ประทับใจสุดๆ
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายที่หลวงพระบางตั้งแต่เช้าวันที่เดินจะทางกลับจนเดินทางกลับจนถึง บ้านบึง-ชลบุรีไปประมาณ 530000 กีบก็ประมาณ 2200 บาทไทยตามรายละเอียดดังนี้ครับ
ค่าอาหาร 70000 กีบประมาณ 270 บาท
ค่าเข้าชม 50000 กีบประมาณ 200 บาท
ค่าบริการซักผ้า 25000 กีบประมาณ 100 บาท
ค่ารถโดยสาร+รถสามล้อส่งขากลับเวียงจันทน์ 175000 กีบประมาณ 700 บาท
ค่ารถโดยสองแถวเข้าเวียงจันทน์ 20000 กีบประมาณ 80 บาท
ค่ารถโดยสารระหว่างประเทศ 60 บาท
ค่าธรรมเนียม+อื่นๆ 10000 กีบประมาณ 40 บาท
ค่ารถโดยสารหนองคาย-หมอชิต 490 บาท
ค่ามอเตอร์ไซค์+รถตู้ 170 บาท
อื่นๆ ประมาณ 100 บาท
สรุปโดยรวมแล้วผมใช้จ่ายเงินไปทั้งหมดประมาณ 8000 บาทไทย ในการเดินทางเที่ยวสามเมืองใหญ่ๆ ในลาว เริ่มต้นที่เวียงจันทน์ 1 วัน1คืน วังเวียง 2วัน2คืน หลวงพระบางอีก 2วัน1คืน เดินทางบนรถอีก 1คืน1วัน ถึงบ้านพอดี ตรงกับงบทีตั้งใจไว้ไม่ให้เกินหมื่น เริ่มจากเงินสดติดตัวประมาณ 8000 บาทไปกดเอทีเอ็มที่วังเวียงเพิ่มอีก 2000 บาท หลังจากกลับถึงบ้านเหลือเงินสดอยู่ประมาณพันกว่าบาทและเงินกีบอีกประมาณ 45000 กีบก็เกือบๆ200 บาทหลังจากแลกคืนได้เพียงบางส่วน(แบบขาดทุน)เพราะหาที่แลกคืนไม่ได้ รวมเป็นเงินไทยทั้งหมดแล้วประมาณ 8000 บาท ยังไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทครับกับการเที่ยวแบบแบคแพคเกอร์ของผม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการท่องเที่ยวแบบนี้ก็ค่อนข้างเสี่ยงนิดหน่อย และไม่สามารถเลือกความสะดวกสบายหรือกำหนดอะไรให้มันตรงกับใจเราได้ แต่ถ้าใครชอบแบบผมก็สามารถใช้รีวิวของผมเป็นแนวทางได้ ท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามเรื่อยมาในทุกๆตอนจนจบตอนสุดท้าย ขอให้แบคแพคเกอร์ทุกท่านสนุกกับการท่องเที่ยวในทุกๆที่นะครับ...

ขอบคุณอีกครั้ง แล้วเจอกันทริปหน้า สวัสดีครับครับ...P_roj





คนเดียวเที่ยวลาวเหนือ ตอน หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก 1

วังเวียง-หลวงพระบาง

 

วันที่ 25 ตุลาคม 2555 6.00 โดยประมาณ หลังจากล้างหน้าล้างตายังเหลือเวลาอีกมากก่อนถึงเวลานัดหมาย และก็เป็นอีกวันครับที่ได้สัมผัสอากาศยามเช้าที่วังเวียง อากาศยามเช้าค่อนข้างเย็นและสดชื่นเงียบสงบ สูดลมหายใจได้เต็มปอด ผมเดินทอดน่องไปเรื่อยๆตามเส้นทางเลาะเลียบข้างที่พัก บรรยากาศยามเช้าของที่นี่ยังคงคล้ายกับเมื่อวาน ร้านค้าแบกะดินวางขายตามปกติของวิถีชีวิต ผู้เฒ่าผู้แก่ออกมารอใส่บาตรคุยกันไปพลางระหว่างรอ วันนี้ผมมีโอกาสร่วมใส่บาตรกับคุณยายท่านหนึ่ง แกมานั่งรอพระอยู่คนเดียว ผมแวะไปทักทายแกๆก็เลยชวนให้ใส่บาตรด้วยกัน โดยภาพรวมผมว่าคนที่นี่อัธยาศัยไมตรี มีน้ำใจ ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากอยู่เมืองไทยเลยจริงๆ ในภาพที่เห็นไกลๆคือบอลลูนที่ให้เช่าชมเมือง ส่วนสนนราคาไม่ได้สอบถาม


ประมาณ 7 โมงเช้า ผมกลับเข้าที่พัก อาบน้ำแต่งตัว  ตรวจสอบข้าวของสัมภาระอีกครั้งก่อนจะออกจากห้อง คืนกุญแจแล้วจึงมานั่งกินกาแฟ(ฟรี)คุยกับยายเจ้าของบ้าน  แกให้ตั๋วโดยสารรถตู้ไปหลวงพระบางกับผมพร้อมกำชับว่าอย่าทำหาย หลังจากนั้นผมจึงเดินออกมา กะว่าจะมาหาอะไรรองท้องซะหน่อยก่อนการเดินทางอันยาวนานประมาณ 6 ชั่วโมงกับระยะทางอีกประมาณ 200 กิโลเมตรจะเริ่มขึ้น แต่ร้านอาหารยังไม่ค่อยเปิดครับเพราะยังเช้าอยู่มาก เดินวนไปวนมาผมก็หาเจอจนได้ ร้านนี้อยู่ตรงข้ามกับลมโชยบาร์เบอร์นั่นเองครับ ตอนกลางคืนเปิดเป็นผับ กลางวันเป็นร้านกาแฟและอาหารตามสั่ง ผมสั่งกระเพราไข่ดาวแบบลาวมาจานนึง หน้าตาก็พอดูได้แต่รสชาดไม่ค่อยคุ้นปาก สนนราคา 20000 กีบ ผมคำนวณราคาในใจ 80 บาทไทยเชียวนะนี่ เทียบกับชลบุรีบ้านผมจานนี้เต็มที่ 40 บาทครับ เสร็จสรรพเรียบร้อยจึงเดินกลับเข้าบ้านพักของยายรอเวลาออกเดินทาง


8 โมงตรงเผง รถสองแถวขนาดใหญ่แวะมารับผมที่โรงแรมเป็นคนแรก ผมร่ำลาจากคุณยายเจ้าของบ้าน แกอวยชัยให้พรและว่าถ้ามีโอกาสปีหน้าให้แวะมาเที่ยวใหม่นะ ผมไม่ได้รับปากแต่นึกในใจถ้ามีโอกาสผมคงต้องมาอีกแน่ หลังจากนั้นรถสองแถวก็วิ่งวนไปวนมารับผู้โดยสารแถวๆนั้นหละครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวต่างชาติ มีผมคนเดียวที่เป็นต่างด้าว นับรวมกันได้ประมาณ 12 คน สอบถามได้ความว่าบางส่วนก็จะเดินทางไปหลวงพระบางกับผม และบางส่วนก็จะแยกไปโพนสะหวัน เมืองท่องเที่ยวระหว่างเส้นทางไปหลวงพระบาง ไม่นานรถสองแถวก็พาพวกเรามาส่งไว้ที่ขนส่งสายเหนือ ด้วยสนนราคาค่าบริการ 15000 กีบครับ เท่านั้นยังไม่พอครับโดนค่าเข้าห้องน้ำที่ บขส อีก 2000 กีบ

9.00 รถเริ่มออกเดินทาง ฝรั่ง 5 ไทย 1 ลาว (คนขับรถ) 1 ด้วยรถตู้ตามที่เห็นในภาพนี่แหละครับ วิ่งผ่านทุ่งนาป่าเขา ผ่านชุมชนริมทางเป็นระยะๆ แต่รู้สึกว่าสภาพภูมิประเทศจะเป็นสีเขียวมากกว่าเส้นทางที่มาจากเวียงจันทน์เมื่อวันก่อน ดีที่ว่าวันนี้อากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ ในช่วงแรกๆยังเป็นเส้นทางเรียบไม่ค่อยมีโค้งมากนัก  ประมาณ 10 โมงเช้ารถเข้าจอดที่จุดพักระหว่างทาง เพื่อให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางในช่วงขึ้นเขา พี่โชเฟอร์แกว่าคราวนี้ 12.30 โน่นแหละจึงจะถึงจุดพักอีกที  หลังจากหยุดพักไม่นาน เราจึงออกเดินทางกันต่อครับ คราวนี้เป็นเส้นทางขึ้นเขาล้วนๆ โค้งๆ คดๆ ขึ้นๆลงๆ ทางตรงไม่ต้องถามหา ถ้ามีใครซักคนเมารถละก็ผมว่ามีปัญหาแน่แต่โชคดีทีไม่มีใครเมาครับ เสียอย่างเดียวเส้นทางช่วงนี้พี่โชเฟอร์แกว่าขอปิดแอร์วิ่ง นัยว่าอากาศมันเย็นอยู่แล้ว อัตราเร่งจะได้ดีขึ้นและประหยัดน้ำมันไปในตัว แต่ความรู้สึกขอผมว่ามันไม่ค่อยเย็นอย่างแกว่า คนไทยพอทนได้แต่ฝรั่งนี่สิบ่นพึมตลอดทาง


ประมาณ 12.30 รถตู้เข้าที่จุดพักทางแห่งที่สอง เพื่อให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำและรับประทานอาหารกลางวันก่อนเดินทางในช่วงสุดท้ายที่เหลือ ขอเข้าห้องน้ำก่อนครับล้าหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัว ค่าใช้จ่ายก็ 2000 กีบเหมือนเดิม ที่นี่เป็นจุดพักที่ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารและของฝากวางขายอยู่หลายร้านเหมือนกัน แต่ผมจำไม่ได้ว่าเค้าเรียกว่าอะไร ผมไม่ได้ทานอาหารที่นี่เพราะว่าไม่อยากให้หนักท้องกลัวจะมีปัญหาระหว่างทาง แต่ก็ได้นมแลคตาซอย 100 มิลมากล่องนึงแทนอาหารกลางวันแบบเบาๆ สนนราคา 5000 กีบ โอ้โห 20 บาทไทยเลยนั่น ที่เมืองไทยบ้านฉันขาย 12 บาทเอง  แต่ก็น่าเห็นใจครับกว่าจะขนส่งมาขายถึงที่นี่ได้ แพงหน่อยก็จ่ายเค้าไปเหอะ


หลังจากมื้อเที่ยงเรียบร้อยเราออกเดินทางกันต่อครับ สภาพเส้นทางยังคงเหมือนเดิม ไม่โค้งซ้ายก็โค้งขวา ไม่ไต่ขึ้นก็วนลง ถ้าไม่เหวซ้ายก็เหวขวา เส้นทางส่วนใหญ่ก็วิ่งผ่านป่าเขาเป็นหลัก ผ่านหมู่บ้านริมทางเป็นจุดๆแต่เราก็ไม่ได้หยุดแวะที่ไหนอีกจนกระทั่ง 2 ชั่วโมงผ่านไป ชุมชนเริ่มหนาตาขึ้นคิดว่าเราคงเข้าเขตหลวงพระบางแล้ว ชาวบ้านเริ่มมีให้เห็นหนาตา นักท่องเที่ยวขี่รถจักรยานเป็นกลุ่มๆ รถยนต์ของชาวบ้านแล่นสวนทางมาเป็นระยะ ชุดแต่งกายของนักเรียนดูดีกว่าตามเส้นทางที่ผ่านมา มองลงไปเห็นแม่น้ำไหลผ่านอยู่ไกลๆ ผมเดาว่าคงเป็นแม่น้ำโขง กำลังมีการแข่งเรืออยู่กลางแม่น้ำเป็นภาพที่ดูแล้วสบายตาดีเหมือนกัน รถวิ่งอีกไม่นานเราก็เข้าสู่เขตหลวงพระบางเต็มตัวแล้วครับ
บ่าย 3 โมงนิดๆ รถตู้ส่งพวกเราลงที่ บขส ของหลวงพระบาง ที่นี่ก็คล้ายกับเวียงจันทน์ครับ บริการรถสามล้อ รถตู้ ที่พักก็จะมารอรับนักท่องเที่ยวอยู่ที่นี่ หลังจากเซย์กู๊ดบายกับเพื่อนร่วมทางซึ่งต่างแยกย้ายกันไปแล้ว ผมเลือกสอบถามหาทำเลและราคาที่พัก จากตัวแทนของโรงแรมที่มีอยู่หลายเจ้าอยู่ครู่ใหญ่จึงตกลงปลงใจไปจะพักที่ เหมาพาโชคเกตเฮาส์ (ชื่อเค้าอย่างนั้นจริงๆ) ที่พักซึ่งน่าจะตั้งอยู่ใกล้ชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวมากที่สุดกว่าเจ้าอื่นๆ เป็นห้องพักมีระเบียงติดแม่น้ำขามในราคา 100000 กีบ ประมาณ 400 บาทไทย หลังจากตกลงราคากันเรียบร้อย ผมนั่งสามล้อเข้าเมืองสนนราคามาตรฐานการเดินทาง 20000 กีบ ไม่นานก็มาถึงโรงแรมรับกุญแจห้อง 205 สภาพก็ตามที่เห็นละครับ


หลังจากเข้าที่พัก  อาบน้ำอาบท่า เตรียมกล้องและเสื้อผ้าที่จะเอาลงไปฝากซักด้วย กะว่าจะลองเที่ยวดูสัก 2-3 ที่ก่อนจะค่ำ โดยเช่าจักรยานของโรงแรมราคา 10000 กีบ หลังจากสอบถามเส้นทางท่องเที่ยวจากพนักงานของที่พักพอสังเขปแล้วจึงเริ่มปั่นลัดเลาะดูสภาพบ้านเรือน  ชีวิตผู้คนและถนนหนทางไปเื่รื่อยๆครับ บ่ายค่อนไปทางเย็นแล้วอากาศที่นี่จึงค่อนข้างเย็นสบาย เลี้ยวซ้ายออกจากที่พักไม่ไกล ข้ามไฟแดงเจอแล้วครับสถานที่แห่งแรก วัดวิชุนฯ เจดีย์ทรงผลแตงโมครึ่งซีกคว่ำกับแสงในยามบ่ายใกล้ๆเย็น เห็นพระจันทร์ดวงเล็กประดับอยู่ไกลๆด้านหลัง


จากถนนด้านหน้าวัดวิชุนฯ มองตรงไปก็เห็นยอดพระธาตุภูสีต้องแสงสุดท้ายของวันอยู่ไม่ไกล ยอดสีทองเหลืองอร่ามตัดกับองค์พระธาตุสีขาวมองเห็นเด่นเป็นสง่า ตั้งอยู่บนยอดเขาเล็กชื่อภูสีซึ่งดูไม่สูงนักแต่ต้องออกแรงปั่นขึ้นเนินนิดหน่อย ถึงสามแยกผมเลือกปั่นไปทางด้านติดริมแม่น้ำขาม แวะชมทิวทัศน์ของแม่น้ำขามยามเย็นที่ถูกฉาบด้วยแสงสีทองของแดดสีทอง มองแล้วสวยแปลกตา จนถึงสามแยกอีกทีเลี้ยวซ้ายกะว่าจะอ้อมไปขึ้นยอดภูสี  ทางด้านที่สอบถามจากคนแถวๆนั้นซึ่งเขาว่าขึ้นง่ายกว่าด้านติดแม่น้ำขาม


แต่พออ้อมไปถึงปรากฏว่า ตลาดไนท์บาร์ซ่าซึ่งเป็นตลาดนัดกลางคืน แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอีกอย่างของที่นี่ กำลังเริ่มตั้งร้านรวงบ้างแล้ว ผมเอาจักรยานมาด้วยก็เลยไม่ค่อยสะดวกในหาที่จอด นั่นทำให้ผมต้องปั่นอ้อมกลับมาทางเดิม ก่อนจอดรถทิ้งไว้ริมแม่น้ำ แล้วรีบเดินขึ้นบนยอดภูสีทันทีกะว่าให้ทันก่อนฟ้ามืด ขึ้นไปได้นิดหน่อยต้องผ่านด่านเก็บค่าเข้าชม 20000 กีบครับจ่ายไป พอเดินเข้าจริงมันทั้งสูงทั้งชันเหมือนกันนะหรือว่าเป็นที่ผมอ่อนล้าไม่ทราบ เดินไปอู้ไปเลยไม่ทันแสงสุดท้ายของวัน แสงไม่พอให้ถ่ายรูปแต่ข้างบนผู้คนและนักท่องเที่ยวยังเยอะมาก  คงเป็นเพราะบนยอดภูสีเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบางได้เกือบรอบตัว ข้างบนนี้ลมพัดค่อนข้างแรงและอากาศค่อนข้างเย็นสบาย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงใช้เวลาพักเหนื่อย และคงแถมต่อด้วยการชมวิวยามค่ำคืนของหลวงพระบางซึ่งเริ่มมองเห็นแสงไฟยามราตรีกันบ้างแล้ว


ผมกลับลงมาจากยอดภูสีฟ้าก็มืดไปแล้ว คิดว่าปั่นจักรยานกลับไปที่โรงแรมเอาไปคืน แล้วจึงเดินออกมาตามเส้นทางเมื่อตอนเย็น ผมคิดว่าการท่องเที่ยวโดยการเดินทำให้เราสามารถเที่ยวได้แบบละเอียดกว่าการนั่งรถดูแบบผ่านๆ มันขาดอรรถรสครับ พักใหญ่ผมก็กลับมาเดินอยู่แถวๆตลาดไนท์ที่มาดูลาดเลาไว้ตั้งแต่ตอนเย็น ตลาดไนท์ที่นี่ก็คล้ายกับตลาดนัดคลองถม ตลาดนัดจตุจักร อะไรประมาณนั้นของบ้านเราครับ ของที่ขายส่วนใหญ่ก็จะเป็นสินค้าประดับตกแต่งบ้าน ภาพเขียนมือ เครื่องประดับ เสื้อผ้าทอมือ เสื้อยืดสกรีนลาย ผ้าพันคอ อัญญมณี อาหารการกิน ของฝาก ฯลฯ คล้ายๆกันเกือบทุกร้าน ที่นี่ผมได้ยินเสียงคนไทยแว่วๆตรงไหนสักแห่ง ผมได้เสื้อยืดสกรีนลายกลับมา 2 ตัว 35000 กีบ ประมาณ 140 บาทไทยเก็บไว้เป็นหลักฐานยืนยันการเดินทางครับ


หลังจากเดินเล่นอีกพักใหญ่จนรู้สึกเหนื่อย ผมได้ขนมครกและขนมบ้าบิ่นแบบลาวมากล่องนึงราคา 10000 กีบ น้ำดื่มอีก 2 ขวดๆใหญ่ 5000 กีบและขวดเล็ก 3000 กีบ เบียร์เย็นๆอีก 2 ขวด 20000 กีบจากร้านค้าระหว่างทางที่เดินกลับที่พัก เพียงพอแล้วครับสำหรับมื้อเย็นของผม 


3ทุ่มกว่าๆผมเดินกลับมาถึงที่พัก หิ้วทั้งเบียร์ทั้งขนมไปนั่งกินอยู่ที่นั่งของโรงแรมแถวๆริมแม่น้ำขาม สักพักก็มีหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งแวะมาคุยด้วย เพราะเขาทราบจากล๊อบบี้ของโรงแรมว่ามีคนไทย (ผมเอง) มาพักอยู่ที่นี่ด้วย สอบถามได้ความว่าเค้าเป็นนักศึกษาอยู่ที่เชียงใหม่มากับเพื่อนอีกคน มาพักที่นี่เมื่อวันก่อน พรุ่งนี้ก็จะเดินทางย้อนกลับไปวังเวียงที่ผมเพิ่งจากมา หลังจากคุยกันพักใหญ่รุ่นน้องคนนั้นก็ลาจากไปบอกว่าเพื่อนชวนไปเที่ยวเธคแถวๆนั้น ส่วนผมต้องขอตัวครับเพราะเหนื่อยล้าเต็มทน สรุปยอดค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางวันนี้มีดังนี้ครับ
1.ค่าที่พัก 100000 กีบ 400 บาท
2.ค่าอาหาร+น้ำดื่ม+เบียร์ 63000 กีบ 250 บาท
3.ของฝาก 35000 กีบ 140 บาท 
4.ค่าเช่าจักรยาน+ค่าเข้าชม+ห้องน้ำ 34000 กีบ 135
5.ค่ารถสามล้อ 15000+20000 =35000 กีบ 140 บาท
รวมแล้ววันนี้ผมใช้จ่ายไปประมาณ 267000 กีบหรือประมาณ 1100 บาทไทยครับ (คิดจาก 250 กีบ/บาท) ถึงแม้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 260 กีบต่อหนึ่งบาทไทย แต่พอใช้จ่ายทีไรเค้าจะคิดเราที่ 250 กีบต่อบาทจ่ายเป็นเงินบาทก็จะขาดทุน จ่ายเป็นเงินกีบก็คิดเ้ต็มทุกที สรุปว่ายังไงเรามักจะขาดทุนทุกครั้งที่จ่ายครับ...

ติดตามต่อใน  "คนเดียวเที่ยวลาวเหนือ ตอน หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก 2"


วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บัญญัติ10ประการ..บริหารเสน่ห์


"เสน่ห์" ในที่นี้ผมขอตีความหมายตามแบบของตัวเองว่า มีความน่ารัก มีแรงดึงดูดให้คนสนใจ รักใคร่ เอ็นดูและปรารถนาที่จะมอบสิ่งดีๆให้ แน่นอนครับ ว่าใครๆก็อยากเป็นคนๆนั้น คนที่เป็นที่รักที่สนใจของคนรอบข้างและคนทั่วไปด้วยกันทั้งนั้นหรือที่ภาษาแบบเราๆเรียกกันว่า "คนมีเสน่ห์" นั่นแหละครับ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยในทางปฏิบัติที่จะทำอย่างไรให้ตัวเราเองมีเสน่ห์มากขึ้น มีคนรัก มีคนสนใจมากขึ้น น้อยคนนักที่จะมีความโชคดีในเรื่องที่ว่านี้ คุณเคยสังเกตุไหมล่ะว่าทำไมถึงมีคนที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบคุณหรือว่าคนที่คุณก็รู้สึกเหมือนจะไม่ค่อยชอบเขาเช่นกัน แต่กับบางคนคุณกลับรู้สึกว่าคนๆนี้เป็นคนที่ดูดีมีเสน่ห์น่าคบหา สิ่งนั้นแหละที่เขาเรียกว่าเป็นคนมีเสน่ห์...

พอพูดขึ้นมาแบบนี้ คุณอาจจะตั้งข้อสังเกตุขึ้นมาทันทีว่า คนที่มี "เสน่ห์" ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ ดารานักแสดง นักร้องนักดนตรี คนมีชื่อเสียง คนในแวดวงชั้นสูง คนรวย ฯล ก็อาจจะถูกของคุณ แต่ว่าบุคคลประเภทนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเสน่ห์ที่ว่ากันทุกคน บางคนก็มีเสน่ห์ได้เพราะอาชีพที่ทำ ฐานะความเป็นอยู่ รวมไปถึงส่วนประกอบต่างๆที่ส่งเสริมให้เขาดูดีมีเสน่ห์มากขึ้น แต่ถ้าหากปราศจากสิ่งเหล่านั้นเมื่อไหร่ความมีเสน่ห์นั้นอาจจะหมดไปก็ได้ ซึ่งความมีเสน่ห์ในกรณีนั้นจะไม่ขอกล่าวถึง แต่จะกล่าวถึงการฝึกการสร้างเสน่ห์หรือที่เราเคยได้ยินกันว่า "การบริหารเสน่ห์" ให้กับตัวเรานั่นเอง...

โดยทั่วไปหลายๆท่านอาจจะบอกว่า ความมีเสน่ห์มักจะเกิดมาพร้อมกับตัวของบุคคลๆนั้น แต่นั่นเป็นเรื่องของความเชื่อครับ ในปัจจุบันดังที่เราเห็นกันอยู่ว่ามีสถาบันพัฒนาบุคลิกภาพต่างๆเกิดขึ้นมามากมาย นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเสน่ห์นั่นเอง แสดงว่าเสน่ห์เป็นสิ่งสร้างได้ไม่ต้องรอให้โชคชะตากำหนด เราสามารถสร้างมันได้ด้วยตัวของเราเอง และนี่ก็คือ "หลักในการบริหารเสน่ห์ 10 ประการ" ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ลองทำดูกันครับ...

1.การจดจำชื่อบุคคล
เรื่องสำคัญอันดับแรกๆในการบริหารเสน่ห์เลยก็ว่าได้ คุณลองคิดดูสิ ถ้ามีใครมาทักคุณด้วยชื่อที่ไม่ถูกต้อง คุณจะรู้สึกอย่างไร? ความประทับใจครั้งแรกของคุณคงหมดสิ้นไปในทันที เช่นเดียวกันถ้าคุณยังจำชื่อใครต่อใครไม่ได้ หรือว่าจำผิดจำถูก มันจะแสดงออกเลยว่าคุณไม่เคยสนใจใยดี หรือเห็นความสำคัญในตัวเขา ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าชื่อของเขาเป็นสิ่งสำคัญสิ่งแรกสำหรับความรู้สึกดีๆที่จะตามมา เพราะฉะนั้นควรจำชื่อเขาให้ได้และทักทายให้ถูกด้วยครับ

2.รู้จักทักทาย
ต่อเนื่องจากการจดจำชื่อบุคคลให้ได้ครับ เมื่อจำได้แล้วก็ต้องรู้จักชิงจังหวะทักทายก่อนด้วยสิ การที่เราสามารถทักทายใครต่อใครได้ก่อนเป็นความน่ารักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมีมิตรจิตรมิตรใจของตัวเรา ทำให้ผู้ถูกทักทายรู้สึกดี รู้สึกว่าได้รับความสนใจ รู้สึกว่ามีคนให้ความสำคัญแล้วเรื่องดีๆก็จะตามมาเองแหละน่า จะไปเสียเวลาจดจำชื่อคนอื่นให้มันปวดหัวทำไม ถ้าจำได้แล้วไม่รู้จักทักทายกัน...ว่ามะ

3.ทำตัวสบายๆไม่ต้องฟอร์มเยอะ
พยายามทำตัวตามสบายๆอยู่เสมอ (แต่ก็ไม่ใช่สบายจนเกินไป ต้องอยู่ในขอบเขตด้วยนะครับ)ผู้คนที่อยู่รอบข้างคุณจะได้ไม่รู้สึกเครียดลำบากหรืออึดอัดใจเมื่อต้องอยู่ใกล้ๆกับคุณ ความเป็นกันเอง ความไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง จะทำให้คุณเป็นคนที่น่าสนใจและน่าอยู่ใกล้ๆครับ

4.มีนิสัยง่ายๆในบางครั้ง
นิสัยง่ายๆในที่นี้มิได้หมายถึงการทำอะไรแบบมักง่ายต้องแยกให้ออกนะครับ นิสัยง่ายๆในกรณีนี้หมายถึงการที่คุณเป็นคนแบบง่ายๆบ้าง แบบเรื่อยๆเปื่อยๆหรือเป็นประเภทอะไรก็ได้ประมาณนั้นบ้าง ซึ่งในการทำเช่นนั้นมันจะทำให้คุณรู้สึกว่าไม่มีอะไรสามารถมารบกวนใจคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือเรื่องราวอะไรที่น่ารำคาญที่สุด ในบางครั้งตัวคุณเองก็ยังอยากอยู่ใกล้ๆกับคนที่ถือสาคุณน้อยที่สุด เพราะบางครั้งคุณเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีเรื่องอะไรที่น่ารำคาญอยู่บ้าง คนอื่นๆก็เช่นกันครับ

5.โง่บ้างก็ได้
มันไม่จำเป็นหรอกครับที่คุณจะต้องรู้เรื่องอะไรต่ออะไรดีไปหมดทุกอย่าง พึงระวังการแสดงออกว่าคุณรู้ดีไปหมดเสียทุกเรื่อง ไม่มีใครอยากคบหากับคนที่คนฉลาดเกินไปหรอกครับ บางครั้งบางเรื่องคนอื่นเขาก็อยากฉลาดบ้างเหมือนกัน แม้ว่าคุณจะรู้จริงแต่ก็ต้องหัดนิ่งให้เป็นเสียบ้าง ทำตัวให้เป็นธรรมชาติ อ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพตามช่วงเวลาที่เหมาะสมจะดีกว่า

6.ร่าเริงเป็นนิจ
คุณเคยสังเกตุไหมว่า บุคคลที่มีความสนุกสนานร่าเริงมักจะรายล้อมไปด้วยผู้คนรอบกาย การที่คุณเป็นคนสนุกสนานร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอารมณ์ดีอยู่เป็นประจำ จะทำให้เพื่อนๆและบุคคลทั้งหลายที่ได้เข้าใกล้ชิดรู้สึกมีความสุขและให้ความจริงใจในการคบหากับคุณ ถือเป็นโอกาสอันดีครับที่คุณจะได้เรียนรู้สิ่งดีๆจากคนเหล่านี้ เมื่อคบค้าสมาคมด้วยเช่นกัน

7.แก้ไขเรื่องเข้าใจผิด
ในชีวิตนึงมันก็ต้องมีบ้างที่คุณอาจจะเคยมองอะไรผิดไปเพียงเพราะการมองของคุณด้านเดียว ก็ต้องพยายามแก้ไขโดยการมองใหม่ให้ละเอียดรอบด้านขึ้น คุณเคยเข้าใจอะไรผิดๆเพราะความไม่รู้จริงหรือเคยมองใครในแง่ร้ายๆมาบ้าง เพราะเคยฝังใจกับการกระทำในครั้งก่อนของเขา หากมีเวลาคุณน่าจะต้องแก้ไขความเข้าใจที่ผิดๆนั้นหรือเลิกผูกใจเจ็บกับเรื่องราวเหล่านั้นได้เลยก็ดี ถ้าทำได้แบบนี้รับรองว่าคุณจะน่ารักขึ้นอีกเยอะ

8.เลิกได้ไหมนิสัยเสียๆ
คนเราไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตนเองได้ฉันใด การมองหานิสัยเสียๆของตนเองก็เช่นกันครับ ในการค้นข้อเสียของคุณจึงจำเป็นต้องอาศัยการสดับรับฟังเสียงจากรอบๆข้าง ถึงเรื่องราวข้อเสียของคุณเองบ้าง เพราะว่าบางทีข้อเสียนั้นๆคุณอาจจะทำมันลงไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อทราบถึงข้อบกพร่องเหล่านั้นแล้วก็หาทางกำจัดหรือว่าแก้ไขมันซะให้หมดไป

9.หัดรักคนอื่นบ้าง
มันน่าแปลกมั้ยครับ ทีคนบางคนจะเกลียดกันได้มากมายทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นั่นเป็นเพราะว่าความรู้สึกเกลียดชังมันเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าความรัก เพราะฉะนั้นการฝึกตนเองให้รู้จักให้ความรักกับคนอื่นก่อนให้ติดเป็นนิสัย จะช่วยให้คุณสามารถคบหากับบุคคลๆนั้นได้อย่างสนิทใจ พึงท่องคาถาประจำใจไว้ว่า "ไม่เห็นมีใครที่เราไม่ชอบเลย" ให้เป็นประจำครับ

10.ชมเชยให้เป็น
ใครก็ชอบฟังคำชมเชย เพราะฉะนั้นอย่าละเลยโอกาสที่จะกล่าวคำชมเชยครับ เมื่อใครคนใดคนหนึ่งใกล้ๆกับคุณกระทำในสิ่งดีๆหรือทำสิ่งใดๆได้สำเร็จ และในขณะเดียวกันเมื่อชมเชยได้ก็ต้องรู้จักแสดงความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ร้อนและไม่สมหวังของเขาให้เป็นด้วยเช่นกันครับ

ดูง่ายๆไม่ยากเลยใช่มั้ยล่ะ แต่ก็นั่นแหละการจะทำให้ครบทั้งสิบข้อในคราวเดียว คงเป็นเรื่องที่ยากมาก เรามาลองเริ่มต้นจากข้อง่ายๆเช่นการจำชื่อเพื่อนๆหรือคนรู้จักให้แม่นๆแล้วเริ่มต้นทักทายเขาก่อน เมื่อทำได้แล้วค่อยขยับตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ เพียงเท่านี้อีกไม่นาน ผมเชื่อแน่ๆว่าคุณคงกลายเป็นคนที่น่ารักน่าสนใจ ใครๆก็อยากคบหาอยากรู้จัก เป็นที่รักของเพื่อนๆได้ไม่ยาก เริ่มต้นเสียแต่วันนี้เลยครับ


ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.yoohhoo.com

คุณกำลังจะตกงาน...อาการมันบอก


"อะไรก็แล้วแต่ถ้าทำเป็น"งาน"แล้วไม่มีสบายหรอก" พ่อผมเคยบอกว่าอย่างนั้น มาลองคิดๆดูเห็นท่าจะจริง คุณลองสังเกตุดูสิ ถ้าอะไรที่ลองทำเล่นๆไม่จริงไม่จังนัก เรามักจะรู้สึกสนุกกับมัน และมักจะทำมันได้ดีเสียด้วย คุณเคยไปช่วยเพื่อนขายของตลาดนัดกันบ้างไหมล่ะ สนุกนะ เต็มที่ครับขายไปกินไปได้ก็ช่างไม่ได้ก็ช่างเพราะเราไม่มีส่วนได้เสียตรงนั้น ต่างกันกับเพื่อนเจ้าของร้านเครียดเกือบตายของก็ขายไม่ค่อยได้ ค่าเช่าที่ยังไม่มีจ่าย แถมยังต้องมารับรองเพื่อนอีก แต่เราก็ไม่สนใจเพราะเราขายเอามันส์อย่างเดียว หรือบางทีคุณอาจจะเคยรับอาสาทำงานอะไรช่วยเพื่อน โดยที่งานนั้นไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของเรา แต่ว่าอยากช่วยเพื่อนไง คุณก็ทำมันไปแบบสนุกสนานเพีงให้มันสำเร็จลงไป ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องตรวจสอบโดยละเอียด ไม่ต้องซีเรียสอะไรเหมือนการทำงานาของเราเอง เพราะคิดว่าไม่ใช่งานของเราๆเพียงมาช่วยเท่านั้น เพื่อนมันต้องรับผิดชอบเองสิ ผลคือทำออกมาแล้วใช้ได้มั่งไม่ได้มั่ง ทำให้เพื่อนต้องเสียเวลาอีกพักใหญ่ในการตรวจสอบและแก้ไข ทั้งสองกรณีที่ยกตัวอย่างมา ถ้าลองเป็นงานของตัวเองดูบ้างสิ คุณว่าจะสนุกออกมั้ย ?...

แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณต้องทำมันเป็นงานประจำขึ้นมาแล้วล่ะก็ ผมคิดว่าความรู้สึกของคุณคงไม่ต่างจากเพื่อนผู้เป็นเจ้าของร้านและเจ้าของงานสองคนนั้น และยิ่งถ้าเป็นงานในรูปของบริษัทด้วยแล้วล่ะก็ โอ๊ย..108ปัญหาสารพันครับ ประเดประดังเข้ามาทั้งเบื่อทั้งหน่าย ทั้งเกียจคร้าน  รำคาญเจ้านาย วุ่นวายกับลูกน้อง ไหนยังต้องคอยมารบรากับเพื่อนๆอีก เฮ้อ..แค่คิดก็กลุ้มแล้ว จนในบางครั้งอาจทำให้หลายๆคนแอบคิดในใจว่า "สู้ให้...ตกงานยังดีเสียกว่าที่จะต้องมาทนทำงานแบบนี้" แล้วคุณล่ะ?เคยมีความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในสมองบ้างมั้ยล่ะ หรือว่าถ้ายังไม่รู้เราลองมาดูต้นเหตุแห่งอาการทั้ง 6 ที่บ่งบอกว่า "คุณมีปัญหากับการทำงานงานเข้าแล้ว"กันครับ

1.เงินเดือนและสิ่งแวดล้อมไม่ตรงใจ
ในสังคมยุคปัจจุบันคงต้องยอมรับกันว่า  เงินเดือนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงาน ไม่ว่าใครๆก็คงอยากได้เงินเดือนสูงๆด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ ยิ่งสูงมากก็ยิ่งดี คงไม่มีใครที่ไหนบอกว่าอยากทำงานโดยไม่สนใจเรื่องเงินเดือน แต่ว่าถ้าที่ทำงานที่ว่านั้นให้เงินเดือนที่ดี  แต่ทว่าความรู้สึกกับที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานก็ตาม เจ้านายหรือลูกน้องก็ตาม หรือแม้แต่ตัวงานเองก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้คุณสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขหรือไม่มีความสุขก็ได้เหมือนกัน เงินเดือนอาจจะน้อยหน่อย ค่อยๆทนทำไปเดี๋ยวคงได้ปรับขึ้น แต่ด้วยสภาพแวดล้อมดีอาจทำให้คุณรู้สึกว่ามีความสุขกับการทำงานมากขึ้น แต่ถ้าเงินเดือนก็สูงอยู่แล้ว  แต่ทว่าสภาพแวดล้อมที่กล่าวมาข้างต้นยังเหมือนเดิม (คือไม่ดีนั่นแหละ) คุณคิดว่ามันจะทำให้คุณรู้สึกมีความสุขกับการทำงานมากขึ้นหรือไม่ หากคำตอบคือ "ไม่" แล้วล่ะก็ ผมว่าเปลี่ยนงานเถอะครับ

2.ความภาคภูมิใจในงานไม่ค่อยมี
จงมีความภูมิใจในตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณเอง   แม้บางครั้งตำแหน่งหน้าที่นั้นอาจไม่ได้สำคัญหรือเป็นตำแหน่งในระดับสูงสำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับคุณแล้วมันเป็นหน้าที่อันสำคัญและยิ่งใหญ่ และคุณก็ยินดีทำมันด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง  ดังนั้นไม่ว่างานเล็ก งานใหญ่ หรืออยู่ในส่วนไหนๆขององค์กร ถ้าเป็นงานที่คุณทำด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจแล้วล่ะก็  มันจะทำให้คุณรู้สึกสนุกและทำงานได้อย่างมีความสุขด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากงานที่คุณทำนั้นมันทำให้คุณรู้สึกว่ามันไม่เป็นประโยชน์ใดๆกับคุณเลย  มิหนำซ้ำยังรู้สึกว่าเสียเวลาที่ต้องมานั่งทำงานแบบนี้ด้วยล่ะก็  ผมคิดว่ายังมีงานอื่นๆที่น่าจะเหมาะกับคุณรออยู่ข้างหน้าครับ

3.ไม่ยินดีกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
องค์กรใดๆก็ตามล้วนแล้วแต่ต้องการให้บุคลากรมีการพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นด้วยกันทั้งนั้น เพราะทุกๆวันการแข่งขันยิ่งทวีความรุนแรงและเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของโลกและสังคม  ดังนั้นตัวคุณเองต้องตามติดให้ทันเพื่อประโยชน์กับตัวคุณเองรวมถึงงานของคุณด้วย คงไม่มีที่ทำงานที่ใดในโลกที่ต้องการพนักงานประเภทเงินเดือนมากขึ้นทุกปีๆ   แต่หน้าที่ความรับผิดชอบยังเหมือนตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ บริษัทส่วนใหญ่มักต้องการบุคลากรประเภทสารพัดประโยชน์  หรือประเภท ALL IN ONE มากกว่าบุคคลที่สามารถทำงานได้เพียงอย่างเดียว  เพราะการจ้างพนักงานเพียงคนเดียวแต่สามารถทำงานได้เหมือนหลายคนย่อมเป็นที่น่าปราถนากว่า  ดังนั้นหนทางแก้ไขก็คือ จงพยายามเพิ่มความรู้ ทักษะในการทำงานให้กับตัวเองให้หลากหลายมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นความรู้เรื่องงานหรือไม่เกี่ยวข้องกับงานก็ดี ซึ่งบางทีมันอาจจะนำมาประยุกต์ใช้กันได้ แต่ถ้าหากคุณยังทำตัวนิ่งเฉยไม่ยอมเรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลงใดๆ ผมคิดว่าในไม่ช้าคุณคงต้องหางานใหม่แน่นอน

4.ปราศจากผลตอบรับเชิงบวกใดๆ
ในชีวิตการทำงาน ผมคิดว่าคงมีหลายๆคนรู้สึกว่าไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีเพียงพอกับการทำงานในแต่ละวันที่ผ่านไป แม้ว่าจะทุ่มเทให้กับงานเต็มที่เพียงใดแล้วก็ตาม ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้ว คนทำงานทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการเป็นส่วนสำคัญของบริษัทด้วยกันทั้งสิ้น  แต่ถ้าคุณสังเกตพบว่าการที่คุณไม่เคยได้รับคำชมเชยใดๆในการทำงาน หรือการที่คุณไม่เคยได้รับแม้กระทั่งสัญญาณจากเจ้านายแม้แต่น้อยเลยว่าคุณก็เป็นคนสำคัญคนหนึ่งของบริษัทเหมือนกัน หากพบว่ามันเป็นเช่นนั้นนั่นย่อมหมายความว่าแสงสว่างในอาชีพที่คุณกำลังทำอยู่นั้นมันช่างริบหรี่ซะเหลือเกิน

5.ทัศนคติของนายไม่เคยตรงกับเรา 
เหตุผลอันดับแรกๆของการเปลี่ยนงานก็คือ ทัศนคติไม่ตรงกับเจ้านาย ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งก็ตามทีคุณไม่เคยมีความเห็นตรงกันกับเจ้านายเลย ไม่ว่าเรื่องใดๆก็ตามคุณรู้สึกว่าเจ้านายมีแต่จะคอยขัดแย้งกับความเห็นที่คุณเสนอทุกครั้งไป เจ้านายชอบคอยจ้องจับผิด  คอยจับตามองคุณทุกฝีก้าวจนทำให้คุณรู้สึกอึดอัดที่ต้องทำงานที่นี่ เจ้านายชอบตำหนิคุณกลางที่ประชุม หรือชอบต่อว่าคุณต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน จนทำให้คุณรู้สึกอับอายขายหน้า  ผมคิดว่าวิธีเดียวที่จะหลีกหนีจากเหตุการณ์แบบนี้ได้ก็คือเปลี่ยนงานครับ

6.ความไม่เข้ากันระหว่างชีวิตกับงาน
ในบางครั้งความแตกต่างระหว่างนิสัยหรือความชอบส่วนตัวของคุณ  กับนโยบายของบริษัทที่กำหนดเป็นกฏระเบียบสำหรับพนักงานนั้นอาจขัดแย้งกัน มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณว่าจะเลือกเปลี่ยนไปตามน้ำหรือจะต่อต้านมัน แต่บางทีสิ่งที่แตกต่างมันอาจจะเป็นแค่สไตล์การทำงานที่ไม่เหมาะสมกับที่ทำงานของคุณแค่นั้นเอง หรือบางทีวัฒนธรรมบางอย่างของบริษัทมันก็ขัดแย้งกับสิ่งที่คุณเป็นซะเหลือเกิน แต่หากคุณรู้จักเปิดใจให้ยอมรับและทำตามอย่างเต็มใจปัญหามันก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มันเป็นปัญหาคาใจ ที่ทำให้คุณรู้สึกต่อต้านอยู่ลึกๆ จนทำให้คุณรู้สึกอึดอัดแล้วล่ะก็ ผมว่าคุณเตรียมพร้อมหางานใหม่เลยดีกว่าครับ


สรุปคือปัญหาดังกล่าวข้างต้นสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทำงานทุกคน เพียงแต่ว่ามันจะมากหรือน้อยหรือรุนแรงแตกต่างกันไป มันขึ้นอยู่กับว่าใครพร้อมที่จะเผชิญหน้ารับมือและปรับตัวได้ดีกว่ากันเท่านั้นเอง และหากคุณรับมันไม่ได้จริงๆ ทางออกเดียวคงมีแต่การหางานใหม่แน่ๆครับ

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.legaljuice.com

กระเทาะเปลือกเรื่องโกหก


..."มุสาวาทา เวรมณีสิกขา ปะทังสะมา ทิยามิ" ศีลข้อสี่กล่าวไว้ว่า พึงละเว้นจากการกล่าวเท็จ ความหมายของคำว่าเท็จหรือมุสาคือไม่เป็นความจริง กล่าวเท็จคือพูดไม่จริง พูดโกหกหรือพูดปดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิด นอกจากนั้นยังรวมถึงการพูดให้คนอื่นเกิดความเสียหาย เกิดความลำบาก พูดให้คนอื่นแตกแยก พูดส่อเ้สียด พูดคำหยาบ และการพูดเพ้อเจ้ออีกด้วย

จะพูดไปนิสัยการโกหกคงอยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนานแล้ว นานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว มันก็เลยทำให้เรารู้สึกเฉยๆเมื่อได้ฟังคำโกหกบ้างหรือจะเป็นคนที่โกหกเองซะบ้างก็ดี (ถ้ามันไม่ร้ายแรงอะไรจนเกินไปนัก) และผมก็เชื่อว่าพวกเราทุกๆคนคงเคยพูดเรื่องโกหกกันมาบ้างใช่มั้ยครับ แต่จะโกหกเพื่อผลประโยชน์ของตนเองหรือของผู้อื่นก็ตามที จะบ่อยหรือไม่บ่อยมากหรือน้อยแค่ไหนก็อีกเรื่องนึง แต่คุณเคยสงสัยกันบ้างมั้ยล่ะว่าทำไมคนเราถึงชอบโกหก และมันมีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้เราต้องโกหกหรือจำเป็นที่จะต้องพูดโกหก จะโกหกทำไมแล้วทำไมต้องโกหก? วันนี้เราลองมาค้นหาสาเหตุของเรื่องนี้กันดูครับ...

1.โกหกเพื่อรักษาน้ำใจ
ผมเชื่อแน่ๆว่า ทุกคนคงเคยโกหกคนอื่นด้วยเหตุนี้กันมาบ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะน่า การโกหกด้วยเหตุผลนี้ อาจฟังดูไม่ร้ายแรงมากมายใหญ่โตอะไรนัก แต่ที่ต้องโกหกไปก็เพื่อถนอมน้ำใจของคนฟังเท่านั้นเอง ผมคิดว่าคุณคงเคยเจอคำถามแบบนี้มาบ้าง "ฝีมือการทำอาหารของชั้นเป็นไง?" "ตอนนี้ชั้นอ้วนไปหรือปล่าว?" "รองเท้าคู่นี้สวยดีมั้ย ?" เป็นคำถามที่ตอบยากใช่มั้ยล่ะ สมมุติว่าคุณตอบไปด้วยความรู้สึกจากใจจริงของคุณ ลองทายสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นทางออกที่สวยงามที่สุดคือ การโกหกด้วยเหตุผลข้อที่หนึ่งนี่แหละครับ

2.การโกหกเพื่อรักษาหน้า
ในชีวิตความเป็นจริงแล้ว เราต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า ในบางครั้งเรื่องบางเรื่องหากพูดความจริงออกไปก็อาจทำให้ตัวเราเองรู้สึกแย่และอับอายขายหน้า คงไม่มีใครหน้าไหนหรอกครับที่สารภาพตามตรงว่าตัวเองแอบผายลมในลิฟท์ เพราะการพูดความจริงเช่นนั้นนอกจากจะอับอายแล้วยังทำให้เราดูแย่ในสายตาคนอื่นอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจำเป็นต้องโกหกด้วยเหตุผลข้อสองนี้บ้าง เพื่อรักษาหน้าของตัวเองเอาไว้ครับ

3.การโกหกเพื่อเลี่ยงการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลยอดนิยมอีกข้อหนึ่งครับ ไม่ว่าจะโกหกด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามแต่ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีคนมาขอความช่วยเหลือจากคุณไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆก็ตาม คุณมักจะบ่ายเบี่ยงปฏิเสธที่จะช่วยเหลือด้วยการใช้คำโกหกแบบนี้แทน เช่น เมื่อเพื่อนของคุณวานให้ช่วยแวะไปเอาของที่ร้านค้าหน้าปากซอยให้หน่อยเพราะต้องทำงานต่อตอนกลางคืน ด้วยเห็นว่าคุณต้องเดินทางผ่านทางนั้นทุกวัน แต่คุณไม่อยากไปก็เลยต้องใช้การโกหกไปว่า พอดีวันนี้ต้องเดินทางไปธุระในเมืองก่อน กว่าจะกลับเข้ามาคงดึก ทั้งที่จริงแล้วคุณก็ไม่ได้มีโครงการไปธุระอะไรที่ไหนหรอก แต่ที่ต้องบอกไปอย่างนั้นเพราะคุณขี้เกียจไปแค่นั้นเอง

4.การโกหกเพื่อเลี่ยงการสนทนาที่ยาวนาน
ในบางครั้งการสนทนากับใครบางคน อาจก่อให้เกิดการสนทนาแบบยาวนานและต่อเนื่องโดยไม่ตั้งใจ จะด้วยเรื่องใดหรือเหตุการณ์ใดๆก็ตามที  ซึ่งในบางครั้งคุณก็ไม่ได้มีเวลามากมายขนาดนั้นที่จะมาคอยนั่งฟัง คอยตอบคำถามหรือร่วมวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานได้ หลายๆคนจึงเลือกที่จะโกหกอาจจะด้วยเหตุผลอะไรซักอย่างที่ยกมาเป็นเหตุ เพื่อตัดบทการสนทนาที่แสนยาวนานนั้น แล้วจึงค่อยขอตัวออกจากวงสนทนา

5.การโกหกเพื่อคุยโวโอ้อวด
ผมคิดว่าคุณๆหลายๆท่านคงเคยประสบพบเจอกับบุคคลประเภทนี้กันมาบ้าง คนประเภทนี้มักจะชอบคุยใหญ่คุยโต คุยโวโอ้อวด แบบว่ามีโน่นมีนี่มีนั่นที่ใครเขาไม่เคยมีกัน หรือรู้จักคนใหญ่โตท่านนั้นท่านนี้ที่ใครๆไม่เคยได้รู้จักกัน ทั้งหมดนั้นเพียงเพื่อเป็นการสร้างภาพให้ตัวเองดูดีขึ้น ยิ่งถ้าคู่สนทนาทำเฉยๆก็ยิ่งเอาใหญ่ เพราะบุคคลประเภทนี้มักไม่ค่อยรู้ตัว ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เป็นที่น่ารังเกียจของคนที่อยู่รอบข้างเอามาก ๆ เพียงแต่พวกเขาอาจไม่แสดงออกให้รู้ก็เท่านั้นเอง

6.การโกหกเพื่อหวังผลประโยชน์
อันที่จริงในชีวิตคนมันก็ต้องมีสักครั้งแหละน่า ที่เราจำเป็นต้องโกหกเพื่อหวังผลประโยชน์หรือรักษาผลประโยชน์ของตัวเองเอาไว้ ถึงแม้จะไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำก็ตาม แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆนิด ๆ หน่อย ๆ ซึ่งไม่ได้ทำให้ใครต้องเดือดร้อน การโกหกประเภทนี้ก็เป็นเหตุผลที่คนเรามักจะหยิบยกมาใช้เป็นข้ออ้างในการโกหกได้เหมือนกัน เช่น คุณอาจจะเคยโกหกเกี่ยวกับเรื่องรายรับที่แท้จริงของคุณ เพื่อให้มีโอกาสได้รับการอนุมัติให้ทำบัตรเครดิตหรือการกู้เงินจากธนาคาร เป็นต้น

7.การโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ
คงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความครับ สำหรับการโกหกด้วยเหตุผลนี้ เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ ซึ่งจริงๆแล้วการโกหกประเภทนี้มันเริ่มต้นมีมาตั้งแต่สมัยที่คุณยังเป็นนักเรียนแล้วหละ คุณอาจจะเคยโกหกครู อาจารย์ด้วยสารพัดเหตุผลเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ นี่ยังไม่รวมถึงการโกหกเจ้านาย โกหกพ่อแม่ หรือแม้กระทั่งโกหกแฟนก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็เพราะคุณไม่อยากต้องรับโทษในการกระทำของคุณนั่นเอง

8.การโกหกเพื่อเข้าสังคม
ด้วยสภาพสังคมที่เป็นอยู่เช่นในปัจจุบัน ไม่น่าแปลกใจที่คนในสังคมต่างต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เราจึงมักจะเห็นว่าบางคนก็ยอมแม้กระทั่งการโกหกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง ยอมที่จะละทิ้งความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง เพียงเพราะต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมระดับสูงนั้น เพื่อยกระดับฐานะทางสังคมของตนให้ดีขึ้น เนื่องจากไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนล้าหลังตกยุคสมัยนั่นเอง 

9.การโกหกเพื่อยืนยันความคิดของตนเอง
หลาย ๆ ครั้งที่คนเรามักปักใจเชื่อว่าความคิดของตัวเองนั้นถูกต้องเสมอ ทั้งๆที่ในบางครั้งแล้วมันก็ไม่ถูกต้องเสมอไป แต่ด้วยความที่มั่นใจในความคิดของตัวเองว่าถูกต้องที่สุดแล้ว จึงทำให้คนเหล่านี้ต้องสรรหาเหตุผลต่างๆนาๆมาเพื่อยืนยันความคิดของตัวเองจนกลายเป็นการโกหกไปโดยไม่รู้ตัว

10.การโกหกเพื่อโน้มน้าวจิตใจ
การโกหกลักษณะนี้พูดง่าย ๆ ก็เหมือนกับการหลอกลวงนั่นเอง โดยผู้พูดพยายามที่จะเข้าไปพูดโน้มน้าว หรือชักจูงจิตใจของคนฟังด้วยถ้อยคำโกหกที่เรียงร้อยมาแล้วเป็นอย่างดี จนทำให้ผู้ฟังเกิดอาการคล้อยตามและหลงเชื่อในคำโกหกนั้นไปโดยไม่รู้ตัว โดยทั้งนี้ก็เพื่อต้องการเปลี่ยนความคิดของผู้รับฟังเพื่อประโยชน์ของตนนั่นเอง

เป็นอย่างไรบ้างครับ จากข้อความทั้งหมดคงพอทำให้เราทราบเหตุผลหลักๆที่ทำให้คนเราต้องโกหกกันพอสมควรครับ แต่อย่างไรก็ตามมุมมองในเรื่องการโกหกของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน หลายคนคิดว่าการโกหกด้วยเรื่องเพียงเล็กๆน้อย หรืออาจจะเรียกว่าการบอกไม่หมดจะดูดีกว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นอยู่ทุกๆวันและเราก็สามารถยอมรับมันได้ แม้ว่าคุณจะบอกว่าเพียงเพื่อความสบายใจก็ตามเถอะ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วการโกหกไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ยังไงก็เป็นเรื่องโกหกอยู่ดี ทั้งนี้มันก็แล้วแต่คุณแล้วล่ะครับว่าจะเลือกโกหกด้วยเหตุผลข้อไหน...

ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก http://men.kapook.com 
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://board.postjung.com

หัวหน้า...ตำแหน่งนี้ท่านได้มาอย่างไร ?


นอกเหนือจากเป้าหมายและนโยบายที่ยอดเยี่ยม ร่วมกับแผนการตลาดและแผนการดำเนินงานที่ดีและการมีเทคโนโลยีหรือเครื่องมือเครื่องจักรที่ทันสมัยในการผลิตแล้ว คงต้องยอมรับกันว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญอีกอย่างของการดำเนินธุรกิจให้ราบรื่นนั้นคือ "บุคลากร" บริษัทจะมีผลกำไรหรือไม่อย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่ความสามารถในการดึงเอาความสามารถของบุคลากรเหล่านั้น ออกมาใช้ให้เต็มกำลังของบรรดา "ผู้บริหาร" ทั้งหลายนี่แหละครับ ถึงแม้ว่าทุกๆอย่างข้างต้นจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีทั้งหมดแต่ถ้า "ผู้บริหาร" ไม่สามารถจัดการให้ "บุคลากร" เดินไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางของบริษัทได้แล้วล่ะก็ อนาคตของบริษัทก็คงไม่ต้องทำนายว่าจะจบลงเช่นใด แล้วผู้บริหารคือใครและมีหน้าที่ความรับผิดชอบอะไร ? เราลองมาดูกันครับ

"ผู้บริหาร" ในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีความรับผิดชอบใหญ่ๆแบ่งออกเป็น 3 ส่วนดังนี้คือ
1. direction-ผู้บริหารคือผู้ที่มีหน้าที่ในการสร้างวิสัยทัศน์และแนวทางที่ชัดเจน
2. motivation-ผู้บริหารคือผู้ที่สามารถสร้างแรงจูงใจ และกระตุ้นทีมงานได้
3. organization-ผู้บริหารคือผู้ที่สามารถบริหารจัดการทั้งทีมงานและควบคุมการเดินทางไปสู่ความสำเร็จได้

นอกจากนั้น"ผู้บริหาร"ยังอาจแบ่งแยกตามหน้าที่ความรับผิดชอบและขอบเขตการทำงานได้ดังนี้
1.ผู้บริหารระดับสูง หมายถึง ประธานกรรมการจนไปถึงกรรมการผู้จัดการหรืออาจเรียกว่าผู้ริเริ่มก่อตั้งองค์กรก็เป็นได้ มีหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจแผนการระยะยาวที่เกี่ยวกับทิศทางโดยรวมขององค์กร กำหนดวัตถุประสงค์ นโยบายและกลยุทธ์ แนะนำทางการจัดการในสิ่งต่างๆทั้งหมดที่ได้กำหนดไว้
2.ผู้บริหารระดับกลาง หมายถึง ผู้อำนวยการ หัวหน้าศูนย์ ผู้จัดการแผนก หรือหัวหน้าสายงาน มีหน้าที่ดำเนินงานตามนโยบายและแผนงานที่ได้กำหนดไว้ ประสานงานระหว่างผู้บริหารระดับสูง เพื่อกำหนดนโยบายให้ผู้จัดการระดับล่างได้นำแผนงานไปปฏิบัติ
3.ผู้บริหารระดับล่าง หมายถึงหัวหน้าแผนกหรือหัวหน้างาน มีหน้าที่ทำตามนโยบายที่ผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารระดับกลางกำหนดไว้   ทำการตัดสินใจระยะสั้นในการดำเนินงานช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับทีม สร้างแรงจูงใจและสามารถรับผิดชอบแทนผู้ที่อยู่ในแผนกของตนได้

แต่บุคคลที่จะขอกล่าวถึงในบทความนี้ก็คือ ผู้บริหารระดับล่างหรือว่าระดับหัวหน้างานนั่นแหละครับ เพราะผู้บริหารระดับล่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพนักงานคนหนึ่งซึ่งยังคงต้องทำงานและบริหารงานเล็กๆน้อยไปด้วย คนเหล่านี้จึงมีความใกล้ชิดกับพนักงานระดับปฏิบัติการมากกว่าผู้บริหารระดับอื่นๆ สามารถควบคุมการปฏิบัติงานได้ใกล้ชิดกว่า สามารถติดตามงานได้รวดเร็วกว่า เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจครับว่าทำไมหลายบริษัทจึงมีหัวหน้างานประเภทนี้เป็นจำนวนมาก  แต่การที่จะได้มาซึ่งหัวหน้างานนั้นแต่ละบริษัทคงมีวิธีการคัดสรรด้วยวิธีการและเงื่อนไขต่างๆกัน วันนี้ผมก็จะขอพูดถึงวิธีการให้ได้มาซึ่งหัวหน้างานตามประสบการณ์ของผมที่ได้พบเห็นมาจากชีวิตการทำงานของผมในบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณๆหลายคนก็อาจจะเคยประสบพบเจอด้วยตนเอง หรือว่า ณ ปัจจุบันหลายๆท่านก็ยังคงปฏิบัติงานร่วมกับหัวหน้างานที่ได้มาจากขั้นตอนการคัดสรรเหล่านี้บ้างอยู่ก็เป็นได้

1.หัวหน้างานที่ได้ตำแหน่งมาจาก วิธีการคิดและวิธีการสร้างโอกาสของเขาเอง การประจบสอพลอนายจนได้ดียังคงมีให้เห็นในทุกๆองค์กร
2.หัวหน้างานบางคนได้ตำแหน่งมาเพราะบุญหล่นทับ อาจจะด้วยสาเหตุที่หัวหน้างานคนเดิมล้มหายตายจาก หรือลาออกไป ทำให้ตำแหน่งว่างตนเองก็เลยได้ครองตำแหน่งนั้น
3.หัวหน้างานบางคนได้ตำแหน่งมาเพราะว่าความอาวุโสในการทำงาน คืออยู่มานานกว่าคนอื่นๆว่างั้นเถอะ องค์กรอาจจะเห็นว่ามีประสบการณ์ก็เลยยกให้เป็นหัวหน้า
4.หัวหน้างานบางคนได้ตำแหน่งมาด้วยอำนาจบารมีของผู้อื่นหนุนส่ง ทั้งๆที่ความจริงแล้วผลงานที่ทำไว้ก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
5.หัวหน้างานบางคนก็ได้ตำแหน่งมาตามกำหนดวาระที่ควรได้ ไม่ต้องสนใจว่าการทำงานเป็นอย่างไร ถึงเวลาตำแหน่งก็ขยับเหมือนกับงานราชการ
6.หัวหน้างานบางคนไต่เต้าจากความสามารถในการปฏิบัติงาน พวกเขามาจากความสามารถล้วนๆใช้ระยะเวลาในการสั่งสมประสบการณ์และทักษะในการทำงานนานพอสมควร จนผู้บังคับบัญชาไว้เนื้อเชื่อใจจึงมอบหมายตำแหน่งให้ 

เท่าที่พอจะนึกออกก็น่าจะมีประมาณนี้ครับ แต่อย่างไรก็ตามการเลื่อนตำแหน่งหรือได้ตำแหน่งมาจาก วิธีการที่1-5ข้างต้นนั้น (ยกเว้นหัวหน้างานที่มาจากข้อ 6 แต่ทว่าการที่องค์กรจะหาบุคคลประเภทนั้นได้เป็นเรื่องที่ยากพอสมควรอาจจะมีแค่หนึ่งในร้อยก็เป็นได้) นั่นเป็นสาเหตุให้องค์กรมักจะได้หัวหน้างานที่ขาดความสามารถเสียเป็นส่วนใหญ่ และอาจส่งผลกับการทำงานในระยะยาว หากหัวหน้างานนั้นๆไม่รู้จักปรับตัวหรือปรับกลยุทธ์ใหม่ในการบริหารจัดการกับทีมของตน
ในการเลื่อนตำแหน่งหรือได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นนั้น หัวหน้างานที่ได้รับเลือกจำเป็นจะต้องมีความสามารถในการปฏิบัติงานและมีพื้นฐานบารมีพอสมควรจึงจะสามารถนำพาทีมไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือบุคคลที่เป็นผู้มีอำนาจในการคัดสรร หรือกำหนดตัวบุคคลที่จะก้าวมาเป็นหัวหน้างานได้นั้นจำเป็นจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สามารถมองคนที่ตนจะมอบหมายตำแหน่งนั้นให้ออกและที่สำคัญต้องสามารถควบคุมได้ด้วยหากเกิดปัญหา

ในส่วนของผู้ที่จะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งหรือเลื่อนสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้นั้น ควรจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีความรู้ความสามารถในงานส่วนที่รับผิดชอบเป็นอย่างดี รู้จักการใช้ชีวิตบนพื้นฐานที่มีความแตกต่างหลากหลายของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างมีศิลปะ รู้จักอ่อนน้อมในสถานการณ์ที่ควรและเข็มแข็งตามสภาพสถานการณ์ที่บังคับ พูดง่ายๆก็คือต้องรู้จักเล็กให้ได้ และก็ต้องใหญ่ให้เป็น ถ้าหัวหน้างานทุกท่านทำได้แบบนี้รับรองครับว่าได้ใจทั้งเจ้านายและลูกน้อง แน่นอน สุดท้ายขอยินดีกับผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่อันยิ่งใหญ่ทุกๆท่าน ขอให้มีความสุขและสนุกกับการปฏิบัติงานในทุกๆวันของการเป็นหัวหน้างานครับ...

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.linkedin.com

"ฝน" จะตกก็ต่อเมื่อ....?


เช้าวันนี้ท้องฟ้าที่ผมเห็นยังคงเป็นสีเทาหม่นๆ ด้วยมีเมฆอุ้มน้ำจำนวนมากที่พร้อมจะกลั่นตัวเป็นสายฝนได้ทุกเมื่อ คงเป็นผลพวงจากพายุโซนร้อน “จ่ามี” (TRAMI)ประกอบกับร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออกมีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน จะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือไว้ด้วย และเรือเล็กในทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่ง(อันนี้ผมคัดลอกมาจากการพยากรณ์อากาศประจำวันของกรมอุตุนิยมวิทยาครับ) ด้วยสภาพอากาศที่เป็นใจไม่เหมาะกับการทำงานใดๆเป็นอย่างยิ่ง หลายๆคนยังคงอ้อยอิ่งอยู่บนที่นอนอันแสนอ่อนนุ่มเย็นสบาย ในขณะที่อีกหลายๆคนเร่งรีบกระวนกระวายอาบน้ำแต่งตัวด้วยหน้าที่และการงานที่บังคับทำให้ต้องรีบออกจากบ้านไปให้ถึงที่ทำงานก่อนที่ฝนจะตก คงไม่มีใครชอบแน่ๆถ้าเกิดฝนตกในระหว่างการเดินทาง ถ้าเดินทางรถมอเตอร์ไซค์แค่เปียกอาจยังไม่พอคงต้องแถมต่อด้วยสายอีกเป็นแน่แท้ การเดินทางด้วยรถโดยสารยิ่งแล้วใหญ่จะออกไปยืนรอรถยังลำบาก ไหนจะต้องขึ้นไปก็ต้องเบียดเสียดเยียดยัดกว่าจะถึงที่หมายก็คงไม่หนีสายอีกเหมือนกัน ถึงแม้ว่าคุณจะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวก็ใช่ว่าจะอุ่นใจได้ ด้วยปัญหาการจราจรที่นับวันจะติดขัดแม้ในยามที่ฝนไม่ตกเพราะจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นทุกๆวัน ยิ่งฝนตกลงมาด้วยก็ไม่ต้องพูดถึง กว่าจะเข้าถึงที่หมายได้ถึงจะไม่เปียกแต่ก็สายเหมือนกัน สรุปว่าคงไม่มีใครอยากเดินทางในขณะที่ฝนกำลังตกแน่นอน คุณว่ามั้ย?

เมื่อคราวก่อนผมเคยเขียนเรื่อง "20 ข้อดีๆของหน้าฝนแบบขำๆ" มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่สำหรับวันนี้ผมจะเขียนถึงข้อเสีย(แบบขำๆอีกเช่นกัน)ของหน้าฝนดูบ้าง ในหัวข้อที่ว่า "ฝนมักจะตกก็ต่อเมื่อ..." ผมคิดว่าหลายๆท่านคงเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับช่วงเวลาการตกของฝน ที่ดูเหมือนจะกลั่นแกล้งกันโดยบังเอิญซะอย่างงั้น เป็นเหตุให้เกิดความหงุดหงิด สร้างความรำคาญในหัวใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อยหละน่า คราวนี้เราลองมาดูกันสิว่า ช่วงเวลาไหนบ้างที่ "ฝน" มักจะชอบตกครับ.... 

1.ฝนจะตกก็ต่อเมื่อ "ออกจากบ้าน" นั่นปะไรอยู่มาได้ทั้งคืน พอตื่นมาท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ไอ้เรารึก็อุตส่าห์รีบอาบน้ำแต่งตัว รีบออกจากบ้านก็ยังไม่ทันการณ์อยู่ดี ตกลงมายังกะฟ้ารั่วซะงั้นจะหลบลี้หนีภัยเบี้ยวงานก็ใช่ที่ วันลาก็เล่นซะหมดไปแต่หัววัน เบี้ยขยันรึก็เหลือไม่กี่วันก็จะได้แล้ว เอาก็เอาวะ !ยังไงก็ต้องฝ่าไปจะเปียกปอนอย่างไรไปถึงที่ทำงานแล้วค่อยว่ากันอีกที...เฮ้อ ชีวิตช่างโหดร้าย สายอีกละตรู

2.ฝนจะตกก็ต่อเมื่อ "เลิกงาน" อีกแล้วครับท่านอยู่มาได้ทั้งวัน ทำไม๊ ทำไมจะต้องมาตกอีตอนเลิกงาน พอเสียงออดดังปุ๊บตอกบัตรแสกนนิ้วเสร็จปั๊บ ฝนก็เทลงมาต้อนรับทันที คนมีรถยนต์ก็ดีหน่อยเลือกที่จะออกไปติดอยู่บนถนนดีกว่าต้องทนติดอยู่ที่ทำงาน บรรดาสมาชิกรถโดยสารก็อาจจะเปียกนิดหน่อยตอนออกไปยืนคอยรถ ส่วนสิงห์มอเตอร์ไซค์กับคนบ้านใกล้อาศัยการเดินนี่ไม่มีทางเลือกครับ ถ้าอยากกลับก็ต้องเลือกเปียก ไม่งั้นก็ต้องยืนเป็นยามอยู่หน้าออฟฟิศ...เฮ้อ ฝนก็ตก รถก็ติด หงุดหงิด หิวข้าวด้วย 

3.ฝนจะตกก็ต่อเมื่อ "ล้างรถเสร็จใหม่ๆ" ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะตก ไม่รู้เป็นยังไงล้างรถทีไรแมร่งตกได้ทุกที ไอ้เรารึก็อุตส่าห์บรรจงล้างขัดเช็ดถูอย่างดีขับออกจากบ้านมาไม่กี่นาทีโดนฝนซะงั้น ไอ้ความสวยงามที่ปล้ำล้างมาครึ่งค่อนวันละลายหายไปกับสายฝนทันที มันน่าบ่นไหมล่ะ แต่ก็ยังดีกว่าไอ้ที่ล้างมาจากคาร์แคร์ โดนค่าล้างไปเป็นร้อยแต่เวลาหล่อช่างน้อยเหลือเกิน ล้างมาเมื่อวานเช้านี้ออกจากบ้านเจอฝนเปรอะเปื้อนเหมือนเดิม....เฮ้อ เสียเวลา เสียดายตังค์ ช่างทำกันได้

4.ฝนจะตกก็ต่อเมื่อ "ซักผ้าตากไว้" ใครจะไปรู้ล่ะก็ตอนออกบ้านก็ยังเห็นแดดเปรี้ยง ก็เลยเสี่ยงตากผ้าทิ้งไว้ กะว่าเลิกงานกลับบ้านไปก็คงเ็ก็บไปรีดได้พอดี ที่ไหนได้คล้อยหลังออกจากบ้านไปไม่กี่นาทีฝนตกลงมาเฉย หมดกันงานนี้เสียทั้งแรง ทั้งเวลาและอารมณ์ เลิกงานกลับบ้านแทนที่จะพักผ่อนสบายๆ ต้องกลับมาเก็บเสื้อผ้ามาซักตากใหม่ขืนทิ้งไว้อย่างนั้นก็เหม็นอับอีก ดูซิแทนจะได้พักผ่อนบ้าง ฝนนะฝน! มาเพิ่มงานกันซะงั้น... เฮ้อ สวรรค์ใยต้องกลั่นแกล้งกันด้วย ?

5.ฝนจะตกก็ต่อเมื่อ "ไม่ได้พกร่มไปด้วย" จะว่าก็ว่ากันเถอะ ปกตินะถ้าเห็นฝนตั้งเค้ามาทีไรก็อดไม่ได้จะต้องหยิบร่มติดมือมาทุกที ไม่อย่างนั้นก็พกติดกระเป๋าไว้ทุกวัน บางทีก็ถือซะจนเมื่อยแขนยังไม่เคยได้กางซักครั้ง แต่พอวันไหนลืมพกร่มมาด้วย จะว่าซวยหรือจะอะไรก็ตามที พอไม่มีร่ม ไม่มีที่กำบัง อยู่กลางที่โล่งนี่แหละ ตกลงมาซะเต็มที่เปียกทั้งตัวแบบนี้แล้วตรูจะไปต่อยังไงล่ะ...เฮ้อ ฝนฟ้าก็ช่างกระไร ไม่เห็นใจกันบ้างเลย

6.ฝนจะตกก็ต่อเมื่อ "ใส่ชุดใหม่วันแรก" พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ชุดใหม่ถอยมาเมื่อวานราคาล้านสี่ยังไม่ทันจะลงเครื่องซัก ตั้งใจว่าวันนี้จะใส่ไปโชว์ให้คนทั้งออฟฟิศมันอิจฉาเล่นซะก่อน แต่ที่ไหนได้ก่อนออกจากบ้านก้าวเท้าผิดข้างหรือว่าเทวดาหมั่นไส้ก็ไม่ทราบ เลยประทานฟ้าฝนมาให้ทั้งที่ไม่ต้องการซะอย่างนั้น ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม เปียกหมดไม่เหลือ ฟ้าเอ๋ยฟ้า ใยไม่เห็นอกเห็นใจคนเห่อของใหม่บ้างเลย...เฮ้อ คิดๆแล้วแค้นสุดขีด สุดฤทธฺ์สุดเดชเลยพับผ่าสิ

7.ฝนจะตกก็ต่อเมื่อ "ออกไปธุระข้างนอก" นานๆจะมีธุระต้องออกมาข้างนอกกะเค้าซักที พักเที่ยงก็รีบออกมาแต่ทว่า คนก็ทำไมถึงได้มากมายก็ไม่รู้ ธุระที่ตั้งใจก็ยังไม่เรียบร้อย เวลาพักก็หมดไปเรื่อยๆ อาหารกลางวันก็ยังไม่ตกถึงท้อง และแล้วโชคร้ายก็มาเยือนอีกครับ อยู่ดีๆฝนก็เทลงมาเพิ่มปัญหาให้กับชีวิตเข้าไปอีกจะกลับก็ไม่ได้ จะไปต่อก็ไม่ถึง อะโหชีวิต!ใยข้าต้องมาติดฝนอยู่ที่นี่ด้วย เครียด กระวนกระวายใจแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่เหม่อมองสายฝนแล้วก็บ่นกับตัวเอง...เฮ้อ เบี้ยขยันของตรู ลอยตามน้ำไปละ

8.ฝนจะตกก็ต่อเมื่อ "ไม่อยากให้ตก" ไอ้ที่ๆเค้าอยากให้ตกก็ไม่ไปตก ชาวนาร้องทุกข์ไม่มีน้ำทำนา ชาวบ้านบ่นด่าไม่น้ำกินน้ำใช้ ก็ไม่ยักกะไปตกให้เขาบ้าง ไม่รู้เป็นอย่างไรตกได้ตกดีไอ้บริเวณที่ไม่ต้องการ ตกจนเกินความต้องการพาลจะท่วมเอาซะอีก ชาวไร่ชาวนาก็อยากให้ฝนตกลงมา พ่อค้าแม่ค้าก็ว่าไอ้ฝนบ้าจะตกมาทำไม เวลาพักผ่อนนอนหลับก็ไม่ตกเข้าไป พอออกจากบ้านทีไรจ้องจะตกทุกที ฯลฯ มันก็เป็นเช่นนี้แหละครับพี่น้อง...เฮ้อ ได้โปรดเถอะฝนจ๋า ขอเวลาฉันสักนิดนึงเหอะ

ครับ ทั้งหมดนั่นก็คือความบังเอิญแบบที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในเรื่องของฝน แต่ถ้าคุณลองสังเกตุดูดีๆก็จะเห็นว่ามันมักเกิดขึ้นจริงๆซะด้วยสิ จะด้วยความบังเอิญหรือจงใจอะไรก็ตามแต่ ที่แน่ๆมันมักจะนำมาซึ่งการเสียเวลา เสียอารมณ์ เสียเงินเสียทอง ฯล แต่ถึงแม้ว่าการที่ฝนตกโดยบังเอิญจะนำพามาซึ่งความเดือดร้อน ความวุ่นวายให้กับชีวิตของคุณบ้าง แต่อย่างไรก็ตามข้อดีของมันก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แค่เพียงเราเปลี่ยนมุมมองนิดหน่อย เราก็จะสามารถหาความสุขจากมันได้ไม่ยาก ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละครับ หากปราศจากปัญหาอุปสรรคใดๆซะบ้าง มันก็ดูจืดชืดไร้สีสันน่ะสิ คุณว่ามั้ย ?...