วันเสาร์ที่แสนชุ่มฉ่ำ ไม่ร้อนแต่ไม่เย็นและไม่เห็นดวงตะวัน ฝนตกยาวมาตั้งแต่เมื่อคืนและตกเรื่อยๆแต่ไม่แรงตลอดทั้งวัน หนักบ้างเบาบ้างตามช่วงเวลา นี่คงน่าจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหน้าฝนเริ่มย่างเข้ามาเต็มตัวแล้ว ด้วยสภาพอากาศไม่เหมาะสมกับการเดินทางไปไหนมาไหน หรือเอื้อให้ทำกิจกรรมใดๆ นอกจากการพักผ่อนอยู่กับบ้าน เล่นอินเทอร์เนท อ่านหนังสือ เดินบ้างนั่งบ้างจนกระทั่งถึงนอนเหม่อมองสายฝนโปรยปราย จิบกาแฟอุ่นๆ ฟังเพลงรักละมุนที่เกี่ยวกับสายฝนแบบเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศเหงาๆของฝนพรำ เชื่อว่าหลายๆท่านก็คงเหมือนกับผม และผมก็ยังเชื่ออีกว่าหลายๆคนคงมีเรื่องราวมากมายหลายเรื่องที่เกิดขึ้นและถูกบันทึกเก็บไว้ในใจ และถูกนำมาขบคิดหรือปลดปล่อยให้ล่องลอยไปไกลในยามสายฝนพรำกันบ้างล่ะน่า พูดไปแล้วก็แทบไม่น่าเชื่อว่า พลังอำนาจของสายฝนจะมีผลทำให้เกิดปฏิกิริยาทั้งในทางบวกและทางลบของอารมณ์ในช่วงนั้นๆ ของมนุษย์เราได้อย่างมากมาย เป็นต้นว่า ผู้ที่กำลังตกอยู่ในความรัก การนั่งเหม่อมองสายฝนอาจจะช่วยสร้างจินตนาการอันเพริศแพร้วอยู่ในห้วงความฝันอันสวยงาม แต่ถ้าเป็นผู้ที่อยู่ห่างไกลจากคู่รัก การนั่งมองสายฝนอาจจะมีผลทำให้เกิดความเหงาทวีคูณ ยิ่งเพิ่มพูนความคิดถึงคนที่อยู่แสนไกล และถ้าผู้ที่อยู่ในอารมณ์ผิดหวัง สายฝนอาจจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น ยิ่งเหงามากขึ้นยิ่งเศร้ามากขึ้น แต่หากเป็นผู้ที่กำลังอยู่ในอารมณ์สุขสมหวังแล้วล่ะก็ สายฝนยามนั่งเหม่อมองอาจทำให้สมองเกิดความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการล่องลอยไปไกลตามสายฝนเลยทีเดียว ดังนั้นจึงทำให้พอสรุปได้ว่า การก่อเกิดของสายฝนมีอิทธิพลต่อความคิดถึงในด้านใดด้านหนึ่งของมนุษย์แน่นอน เอ..ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ผมได้อ่านบทความๆหนึ่งในฟอร์เวิร์ดเมล์ เกี่ยวกับเรื่องของสายฝนและความคิดถึงว่ามันเกี่ยวพันกันได้อย่างไรซึ่งเขียนไว้ได้อย่างน่าสนใจในหัวข้อที่ว่า "เวลาฝนตก ทำไมเรามักคิดถึงคนที่รักเสมอ" นั่นน่ะสิ หน้าร้อนก็ไม่ค่อยคิดถึงใคร หน้าหนาวก็อาจมีบ้างนิดหน่อย แต่ออกอาการหนักที่สุดก็ตอนหน้าฝนนี่แหละ ผู้เขียนให้เหตุผลที่ทำให้ความคิดถึงกำเริบมากตอนฝนตกไว้อย่างน่าฟังดังนี้ครับ
เรื่องนี้มีตำนานอยู่ว่า...
เรื่องนี้มีตำนานอยู่ว่า...
เมื่อก่อนนี้ ท้องฟ้า แผ่นดิน และผืนน้ำ เป็นเพื่อนรักกันทั้งสามอยู่ใกล้ชิดติดกัน จนกระทั่งโลกได้ถือกำเนิดพืชและสัตว์ขึ้น แผ่นดินและผืนน้ำก็มัวแต่ดูแลเอาใจใส่พืชและสัตว์
จนละเลยและไม่สนใจท้องฟ้า ท้องฟ้าก็เริ่มรู้สึกน้อยใจและถอยตัวห่างออกไป
ห่างออกไปทุกที ทุกที
จนถึงวันที่โลกมีนกตัวแรกออกโบยบิน แผ่นดินและผืนน้ำจึงได้รู้ว่าท้องฟ้าได้จากไปไกลแสนไกล แผ่นดินและผืนน้ำพยายามส่งเสียงเรียกท้องฟ้า แต่ท้องฟ้าอยู่ไกลมากเลยไม่ได้ยิน
นกตัวนั้นจึงอาสาที่จะไปบอกกับท้องฟ้า นกก็บินขึ้นสูง สูงขึ้น สูงขึ้นไปเรื่อยๆ และส่งเสียงเรียก แต่เสียงนกนั้นเบาเกินไป ไม่อาจได้ยินไปถึงท้องฟ้า แต่นกตัวนั้นก็สัญญาว่า ต่อไปนี้นกทุกตัวจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อนำข่าวจากแผ่นดินและผืนน้ำไปบอกให้ท้องฟ้าได้รับรู้
ผืนน้ำและแผ่นดิน รู้สึกเศร้าใจที่เพื่อนรักห่างไกลออกไปทุกที ทุกที ทั้งสองคิดถึงเพื่อนเหลือเกิน ผืนน้ำพยายามที่จะม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นครั้งแล้วครั้งเล่า แผ่นดินพยายามยกตัวสูงจนตั้งตระหง่านแต่นั่นก็ยังสูงไม่พอ ยังไม่เข้าใกล้ท้องฟ้าสักที
พระอาทิตย์ซึ่งเฝ้ามองดูเหตุการณ์มาโดยตลอด รู้สึกเห็นใจจึงบอกกับทั้งสองว่า "เราอาจจะช่วยพวกเจ้าได้" พระอาทิตย์จึงอาสาช่วยโดยการส่องแสงลงมายังผืนน้ำและแผ่นดิน ทำให้ระเหยกลายเป็นไอ ลอยไปรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ ลอยขึ้นไปบอกข่าวแก่ท้องฟ้า บอกเล่าเรื่องราวต่างๆเป็นรูปต่างๆตามที่แผ่นดินและผืนน้ำได้พบเจอมา และบอกว่าแผ่นดินและผืนน้ำคิดถึงมากอยากให้ท้องฟ้าลงมาสนิทแนบชิดเหมือนเมื่อก่อน
ท้องฟ้าได้รับรู้เรื่องราวก็รู้สึกเสียใจ แต่ก็กลับลงไปไม่ได้ "ฉันกลับลงไปไม่ได้หรอก เพราะฉันเติบโตขึ้น และอยู่สูงเกินไป ลงไปไม่ได้แล้วและฉันได้แผ่ขยายตัวเองจนกว้างขวาง ที่ฉันทำได้ก็เพียงแต่เฝ้ามองดูอยู่ไกลๆ และโอบกอดแผ่นดินและผืนน้ำไว้อย่างอ่อนโยนเท่านั้น และถึงแม้จะมีนกบินมาส่งข่าว แต่ฉันก็ยังคิดถึงแผ่นดินและผืนน้ำอยู่และอยากจะบอกกับทั้งสองว่าฉันเองคิดถึงเพื่อนมากมายเพียงใด"
ก้อนเมฆก็ตอบว่า "อยู่บนนี้นานๆก็เหงาเหมือนกัน บางทีก็อยากกลับลงไปข้างล่างบ้าง"
ท้องฟ้าเลยบอกว่า "ฉันก็เหงาเหมือนกันแต่ว่าฉันกลับลงไปไม่ได้ แต่เจ้าลงไปได้นี่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งเจ้ากลับลงไป และความคิดถึงของฉันก็หนักมากพอที่จะส่งพวกเจ้าลงไปหมดทั้งท้องฟ้า"
จากนั้นก้อนเมฆทั้งหมดก็รวมตัวกัน และรวมเข้ากับความคิดถึงอันมากมายของท้องฟ้า จากนั้นก็ตกลงมาเป็นหยาดฝน ส่งผ่านความรักความคิดถึงมายังแผ่นดินและผืนน้ำ
จึงไม่แปลก ถ้าเมื่อใดที่ฝนตก แล้วเราจะรู้สึกคิดถึงคนที่เรารัก คนที่เราผูกพัน เพราะบางครั้งท้องฟ้าก็ส่งความเหงาฝากลงมาด้วย...
จนถึงวันที่โลกมีนกตัวแรกออกโบยบิน แผ่นดินและผืนน้ำจึงได้รู้ว่าท้องฟ้าได้จากไปไกลแสนไกล แผ่นดินและผืนน้ำพยายามส่งเสียงเรียกท้องฟ้า แต่ท้องฟ้าอยู่ไกลมากเลยไม่ได้ยิน
นกตัวนั้นจึงอาสาที่จะไปบอกกับท้องฟ้า นกก็บินขึ้นสูง สูงขึ้น สูงขึ้นไปเรื่อยๆ และส่งเสียงเรียก แต่เสียงนกนั้นเบาเกินไป ไม่อาจได้ยินไปถึงท้องฟ้า แต่นกตัวนั้นก็สัญญาว่า ต่อไปนี้นกทุกตัวจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อนำข่าวจากแผ่นดินและผืนน้ำไปบอกให้ท้องฟ้าได้รับรู้
ผืนน้ำและแผ่นดิน รู้สึกเศร้าใจที่เพื่อนรักห่างไกลออกไปทุกที ทุกที ทั้งสองคิดถึงเพื่อนเหลือเกิน ผืนน้ำพยายามที่จะม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นครั้งแล้วครั้งเล่า แผ่นดินพยายามยกตัวสูงจนตั้งตระหง่านแต่นั่นก็ยังสูงไม่พอ ยังไม่เข้าใกล้ท้องฟ้าสักที
พระอาทิตย์ซึ่งเฝ้ามองดูเหตุการณ์มาโดยตลอด รู้สึกเห็นใจจึงบอกกับทั้งสองว่า "เราอาจจะช่วยพวกเจ้าได้" พระอาทิตย์จึงอาสาช่วยโดยการส่องแสงลงมายังผืนน้ำและแผ่นดิน ทำให้ระเหยกลายเป็นไอ ลอยไปรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ ลอยขึ้นไปบอกข่าวแก่ท้องฟ้า บอกเล่าเรื่องราวต่างๆเป็นรูปต่างๆตามที่แผ่นดินและผืนน้ำได้พบเจอมา และบอกว่าแผ่นดินและผืนน้ำคิดถึงมากอยากให้ท้องฟ้าลงมาสนิทแนบชิดเหมือนเมื่อก่อน
ท้องฟ้าได้รับรู้เรื่องราวก็รู้สึกเสียใจ แต่ก็กลับลงไปไม่ได้ "ฉันกลับลงไปไม่ได้หรอก เพราะฉันเติบโตขึ้น และอยู่สูงเกินไป ลงไปไม่ได้แล้วและฉันได้แผ่ขยายตัวเองจนกว้างขวาง ที่ฉันทำได้ก็เพียงแต่เฝ้ามองดูอยู่ไกลๆ และโอบกอดแผ่นดินและผืนน้ำไว้อย่างอ่อนโยนเท่านั้น และถึงแม้จะมีนกบินมาส่งข่าว แต่ฉันก็ยังคิดถึงแผ่นดินและผืนน้ำอยู่และอยากจะบอกกับทั้งสองว่าฉันเองคิดถึงเพื่อนมากมายเพียงใด"
ก้อนเมฆก็ตอบว่า "อยู่บนนี้นานๆก็เหงาเหมือนกัน บางทีก็อยากกลับลงไปข้างล่างบ้าง"
ท้องฟ้าเลยบอกว่า "ฉันก็เหงาเหมือนกันแต่ว่าฉันกลับลงไปไม่ได้ แต่เจ้าลงไปได้นี่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งเจ้ากลับลงไป และความคิดถึงของฉันก็หนักมากพอที่จะส่งพวกเจ้าลงไปหมดทั้งท้องฟ้า"
จากนั้นก้อนเมฆทั้งหมดก็รวมตัวกัน และรวมเข้ากับความคิดถึงอันมากมายของท้องฟ้า จากนั้นก็ตกลงมาเป็นหยาดฝน ส่งผ่านความรักความคิดถึงมายังแผ่นดินและผืนน้ำ
จึงไม่แปลก ถ้าเมื่อใดที่ฝนตก แล้วเราจะรู้สึกคิดถึงคนที่เรารัก คนที่เราผูกพัน เพราะบางครั้งท้องฟ้าก็ส่งความเหงาฝากลงมาด้วย...
แล้วคุณล่ะคิดถึงใครบ้างไหมเวลาที่มองสายฝนพรำ ?...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น